วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การดูฤกษ์ยามแต่งงาน

ในการดูฤกษ์ยามแต่งงาน
 
 ไม่ ใช่เป็นเรื่องพิธีกรรมแต่เพียงอย่างเดียวเท่า นั้น นั่นเป็นเพียงรูปแบบ แต่ประเด็นหลักของการใช้ฤกษ์ยามในทางโหราศาสตร์ในสัญลักษณ์แห่งพิธีกรรมก็ คือเป็นหลักประกันที่สำคัญที่สุด ที่จะการประกันชีวิตสมรสได้ว่า การสมรสนั้นจะมั่นคงราบรื่น ฐานะมั่นคง ไม่มีปากเสียงและเกิดการทะเลาะวิวาทในคนทั้งสอง ไม่เกิดการอย่าร้าง และเกิดบุตรที่มีปัญญา ฉลาดเฉลียว และสืบวงศ์ตระกูลไปในภายภาคหน้า

ใน การพิจารณาฤกษ์ยามในระบบโหรพรามณ์หรือโหราศาสตร์ภารตะนี้ มีการพิจารณาในรายละเอียดลึกซึ้ง มีการประเมินผลมาตลอดระยะเวลา 5000 ปี แต่หากดูจากโหราศาสตร์ระบบอื่นๆอาจจะหาฤกษ์ได้ง่ายกว่านี้ แต่ก็มีผลเสียตามมามากมาย โดยเฉพาะความสุขในชีวิตสมรส มีการอย่าร้างตามมามากมาย นี่อาจจะเป็นเพราะใช้ฤกษ์สะดวกหรือใช้ฤกษ์ยามแบบสุกเอาเผากิน นอกจากกฎเกณฑ์ฤกษ์ยามพื้นฐานทั่วไปแล้ว ยังต้องพิจารณาเพิ่มเติมอีกเป้นพิเศษสำหรับฤกษ์มงคลสมรส เช่น
1.ห้ามวันเสาร์ วันพุธ วันอังคาร
2.ห้ามวันแรมตั้งแต่ 11 ค่ำขึ้นไป ห้ามริกตะดิถีคือขึ้นแรม 8,12และ 6ค่ำ
3.ห้ามวันพระจันทร์ดับ อมวาสี วันที่ดาวเคราะห์ดับ วันที่มีคราส ฯลฯ
4.ห้ามวันที่มีดิถีร้าย เช่น วันดิถีมหาสูญ ฯลฯ
5.ห้ามวันที่ มีกรณะร้าย (คำนวนจากองศาพระอาทิตย์และจันทร์) ห้ามวิษฎิกรณะอย่างเด็ดขาด
6.ห้าม เวลาที่มีโยคร้าย (คำนวนจากเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น-ตก แล้วนำมาเฉลี่ย 8 ส่วน) ห้ามโยค วยาธิปัฎ ธรุว คัณฑ วัชร ศูละ วิษฎัมภะ วยาฆาต และปริฆะ
7.ห้ามวัน ขึ้นแรม 7 คำ ต้องอัคนิโรธณ์
8.ในดวงฤกษ์ต้องไม่มีคุชะโทษ (อังคารอยู่ในเรือที่ 8 ศุกร์ในเรือนที่ 6) แสดงถึงการอย่าร้าง
9.ในดวงฤกษ์ดาวจันทร์ต้องไม่ร่วมกับดาวเคราะห์ใดใด แสดงถึงความไม่มีความสุขในชีวิตสมรส
10ในดวงฤกษ์เรื่อนที่ 7 ตัองว่าง ไม่มีดาวเคราะห์สถิตย์ แสดงถึงการทะเลาะวิวาท
11 ในดวงฤกษ์ต้องไม่มีปาปเคราะห์ร่วมลัคน์ แสดงถึงความทุกข์ยากขัดสน
12 ตรวจสอบดาราพละ และปัญจก ให้สมดุลย์ เพื่อลบล้างผลร้ายในดวงชาตาของทั้งสอง
13.ยก เว้นนักษัตรทำลาย เช่น เชษฐนักษัตร เป้นเหตุให้เกิดผลร้ายแก่ดวงชาตาของพี่น้องสามี นักษัตรมูลละ เป็นเหตุให้บิดา มารดาของสามีตาย อัสษิเลษะ เป้นเหตุให้มารดาของสามีตาย วิศาขะทำลายน้องชายสามี มูละทำลายบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย
14.พิจารณามหากูฎะเพื่อความปรองดองในการสมรส
14.1 ทินะกูฎะ หาความปรองดองในชีวิตคู่
14.2คณะกฏะ หาความปรองดองในเรื่องอารมณ์และนิสัยของคู่สมรส
14.3มาเหนทรกูฏะ แสดงถึงความมีสวัสดิภาพและอายุยืนของทั้งคู่
14.4สตรีทีรฆกูฎะ แสดงถึงมิตรไมตรีที่มีต่อกัน
14.5 โยนิกูฏะ แสดงถึงความสอดคล้องกันในเรื่องเพศ และกามารมณ์
14.6ราศีกูฎะ แสดงถึงความสุขในชีวิตคู่ และความเจริญรุ่งเรือง
14.7เคาราห์ไมตรีกุฎะ แสดงถึงจิตใจและอารมณืของคุ่สมรส การเอื้ออาทร ความมีน้ำใจให้กัน
14.8วัศยะกูฎะ แสดงถึงความรับผิดชอบต่อกัน การปฎิบัติต่อกันตามฐานะ
14.9รัชชุกูฎะ แสดงถึงความมั่นคงหรือระยะเวลาของชีวิตสมรส
14.10 เวธกูฎะ แสงถึงการให้โทษซึ่งกันและกัน เบียดเบียนกัน
14.11 วรรณะกูฎะ แสดงถึงความถือตัวเย่อหยิ่งต่อกันในชีวิตคุ่
14.12นิทิกูฎะ แสดงถึงเชื้อสายและกรรมพันธ์ ที่สมดุลยกันในคู่สมรส

ความหมายของโหราศาสตร์

ความหมายของโหราศาสตร์
โหรา วิทยา-อารัมภบท

โดย อาจารย์รัตน์-ศิระ นามะสนธิ

การศึกษาโหราศาสตร์ให้ได้ความรู้ที่ลึกซึ้งนั้น จำเป็นต้องพยายามทำความเข้าใจในหลักการโหราศาสตร์ให้แจ่มแจ้ง ทฤษฎีต่างๆทางโหราศาสตร์กำหนดใว้ให้เป็นเครื่องมือ ค้นคว้าตรวจสอบอิทธิพลของดาวเคาระห์ที่สำแดงปรากฏการณ์ต่อพื้นปฐพี เรื่องนี้บางคนยอมรับว่าความเป็นไปของชีวิติสัมพันธ์กัความเคลื่อนไหวของ เหตุผลลึกลับในจักรวาล เช่นในความหมายของโชคดี โชคร้ายส่วนบุคคล ความเจริญรุ่งเรืองและตกต่ำของอาณาจักร ความเจริญและความเสื่อมเสียในความปรารถนาในความก้าวหน้าของมนุษย์ ทั้งความวิวัฒนาการและความทรุดโทรมของศิลปะ,วิทยา,วรรณกรรมและปรัชญา บางคนปิดหูหลับตาปฎิเสธความสัมพันธ์ไม่ว่าทางใดใด ที่มีอยู่จริงในระหว่างประชากรของดลกกับดาวเคราะห์ ความจริงที่ปฎิเสธเป็นเพราะผู้นั้นมีจิตใจเป็นอคติทำให้เกิดความลำเอียง ความรังเกียจเดียดฉันท์ และความหลงยึดถือ การพิจารณาตรวจสอบด้วยความไม่มีอคติเท่านั้นที่จะสามารถให้ได้เห็นคุณค่าของ ความเป็นจริง ที่แฝงอยู่ของเขตของวิทยาการแต่ละอย่าง คนฉลาดบางคนผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่พยายามขัดแย้งเพราะมีมูลเหตุเพียงมีอคติ หรือความลำเอียงในจิตใจ ด้วยการโต้แย้งหลักฐานที่เสนอด้วยความเป็นจริง ก่อนได้ศึกษาทฤษฎีและความเข้าใจในกฏหลักต่างๆกันแล้ว การวินิจฉัยในเรื่องของโหราศาสตร์ การลงความเห็นภายหลังการตรวจสอบทฤษฎี และขั้นสุดท้ายด้วยการทดลองปฏิบัติตามแนวทางของทฤษฎี จนเป็นที่พอใจเสียก่อน ไม่มีวิทยาหรือศิลปะใดใดที่น่าสนใจในการให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ในการช่วยเหลือทางศีลธรรมและความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุได้มากว่าวิทยาการสูง สุดด้านโหราศาสตร์ วิทยการนี้เป็นวิทยากรเก่าแก่ที่สุดของวิทยาการทั้งมวล ที่เจริญรุ่งเรืองเต็มที่ในดินแดนภารตะมาหลายพันปีมาแล้ว


นัก วิทยาศาสตร์และผู้ที่มีความรู้ทาง ดาราศาสตร์สมัยนี้ยิ้มเยาะโหราศาสตร์และไม่ยอมรับความดูหมิ่นอย่างที่สุดคิด เห็นไปในทางเป็นของเลวทรามและคิดเห็นว่าความเห็นของตนเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง เสมอด้วยความทนงตนและความงมงาย วิธีชีแจงสั่งสอนของบุคคลจำพวกนี้เปิดเผยดีและวิจัยด้วยความยุติธรรมและ เหตุผล แต่เมื่อถูกแนะนำให้รู้จักโหราศาตร์กลับแสดงความหลงวิชาที่ตนรู้อย่างรุนแรง
โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สามารถที่ให้คำพยากรณ์ล่วงหน้าได้โดยอาศัยมูลฐาน การเคลื่อนไหว โดยปกติวิสัยของดาวเคราะห์ที่สำแดงให้เห็นปรากฏการณ์ในเรื่องโชคดีโชคร้าย ของบุคคล เคาระห์กรรมของอาณาจักร แผ่นดินไหว โรคร้ายแรง ภูเขาไฟระเบิด และเหตุอุบัติอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์บนพื้นปฐพี คำว่าโหราศาสตร์เป็นภาษาสันสกฤตหมายความว่า “ศาสตร์ที่กล่าวถึงเรื่องของเวลา” และเรียกว่า “โชยติษ” หรือความรู้ที่ให้ความสว่างแก่มนุษย์
ผู้มีจิตใจปกติจะปฎิเสธอิทธิพลของดาวเคาระห์ที่สำแดงอำนาจแก่มนุษย์ นในเรื่องของความปิดกั้นและการให้ความสะดวกแก่การดำรงชีพต่อไปในแนวทาง ประการของชีวิตมนุษย์ คืออุปนิสัย ลักษณะ ความคิด และพละกำลังในความปรารถนา
เป็นที่รู้แจ้งทั่วไปว่า ให้ห้วงจักรวาลมีอิทธิพลธรรมชาติที่แน่นอนอย่างหนึ่งแผ่สร้านปกคลุมอยุ่ไป ทั่ว และปฐพีที่เราอาศัยอยู่นี้ก็อยู่ภายใต้อิทธิพลลี้ลับและเคลื่อนไหวอยู่เสมอ นี้ด้วยการสร้าง การบำรุงรักษาและการทำลาย การเปลี่ยนแปลงไปตามอำนาจของกาลเวลา ซึ่งเป็นผลลัพท์ของอิทธิพลทางธรรมชาติในจักรวาล
ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลในระบบดวงดาวบนท้องฟ้า ดาวเคราะห์และดาวนักษัตรหลากหลายอยู่ภายใต้อิทธิพลรังษีของดวงอาทิตย์
การโคจรของดวงอาทิตย์เป็นมูลเหตุให้มีการเปลียนแปลงฤดู การให้ความเจริญงอกงามแก่เมล็ดพันธ์พืช และการเจริญเติบโตของสัตว์อ่อน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆบนพื้นพิภพ
ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด และสำแดงอิทธิพลเหนือพิภพมากมาย เช่นการขึ้นลงของน้ำในแม่น้ำและทะเลตลอดจนพฤษชาติ สัตว์ และมนุษย์ล้วนแล้วได้รับการเปลี่ยนแปลงเพราะอิทธิพลของจันทร์มากน้อยดี ร้ายอย่างไร สุดแท้แต่คราวที่จันทร์เป็นจันทร์แรมและจันทร์ที่เป็นข้างขึ้น


ดัง นั้นเป็นความแน่นอนโดยไม่เปลี่ยนแป ลงที่วัตุธรรมชาติทั้งมวล ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของความเลื่อนไหวของดาวเคาระ ห์ในเวหา และมีใช่เพียงแต่เท่านี้ อิทธิพลนี้ยังครอบคลุมถึงความเจริยในการงอกของเมล็ดพืช และความเจริญสมบูรณ์ของทารกและสัตว์อ่อนในครรภ์ด้วย จะเป็นผลดีร้ายมากน้อยอย่างไร สุดแต่ปริมาณและคุณภาพของอิทธิพลในขณะเวลาตั้งครรภ์
โหราศาสตร์ไม่ใช่ศาสตร์ในเรื่องโชคลาง เวทมนต์ ลายมือและการเสี่ยงทาย โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่แปลความหมายของโชคเคาระห์ปัจจุบันและอนาคตจากผลอดีต กรรมของบุคคล ซึ่งหมายโดยที่สถิตย์ของดาวเคาระห์ในเวลาเกิด
ผู้ใดรู้ความจริงในเรื่องอิทธิพลของดาวเคาระห์ จะสามารถพยากรณ์ล่วงหน้าในลักษณะของจิตใจ และร่างกายของบุคคลตลอดจนโชคร้ายที่คอยให้ผลในอนาคตและการดำรงชีพได้อย่าง ถูกต้องถ้าได้รู้เวลาเกิดที่แน่นอน
เมื่อผู้ใดได้รู้ผลของอดีตกรรมของตนได้อย่างถูกต้อง ก็อาจจะสร้างพฤติกรรมหรือปรับปรุงจิตใจและร่างกายให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ ชี้หมายอย่างกว้างขวาง อิทธิพลของดาวเคาระห์เพื่อต่อสู้ระยะที่เป็นผลร้ายต่อชีวิตให้เบาบางลง ความปรารถนาของบุคคลไม่มีขอบเขตจำกัด แต่ถ้าความปรารถนานั้นเป็นความปรารถนาที่ต้องการความสุขในชีวิตจากสิ่งที่ ไกลจากเหตุผลของธรรมะ ผู้นั้นก็ไม่สามารถเข้ถึงคุณค่าในเนื้อแท้ของการบรรเทาทุกข์ จะไม่มีความสุขและขาดความก้าวหน้าในการดำรงชีวิต “คนโง่ย่อมตกเป็นทาสของ อิทธิพลแห่งดาวเคาระห์ ส่วนคนฉลาดเตรียมพร้อมเสมอที่จะต่อสู้ยับยั้งผลของอิทธิพลนั้นให้บรรเทาเบา บางลง”

ฤกษ์บน-ฤกษ์ล่าง

ฤกษ์บน-ฤกษ์ล่าง

อย่างที่กล่าวกันมาแล้วว่าฤกษ์ที่อยู่บนท้องฟ้าตามปฎิทินโหร ที่บอกว่าวันนี้เป็นวันดี ฤกษ์ดีเหมาะแก่การมงคลต่างๆนั้น เรียกว่าฤกษ์บน ซึ่งเป็นฤกษ์ทั่วไป แต่เราก็อาจะใช้ไม่ทุกคนเสมอไปนะครับ เพราะหากสอบเข้ากับดวงชาตากำเนิดเราแล้วก็อาจจะเป็นฤกษ์ที่ไม่ดีก็ได้
ฉะนั้นการใช้ฤกษ์ที่เหมาะกับตัวเราจริงๆจะต้องสมดุลย์กันทั้งฤกษ์บนและ ฤกษ์ล่าง(ของเราด้วย) อย่างที่บอกมาแต่แรกว่าฤกษ์ดีประเภทบูรณฤกษ์ เช่น ทลิทโท มหัทธโน ภูมิปาโล เทวี ราชา สมโณ แต่หากมาคำนวนดวงชาตาของเราไปร่วมด้วย ก็ต้องให้เป็นบูรณฤกษ์เช่นเดียวกัน คือจะต้องตก ทลิทโท มหัทธโน ภูมิปาโล เทวี ราชา สมโณ

เช่นกัน แต่บางทีมันมักมิใช่อย่างนั้น ก้อาจจะตกฤกษ์ร้ายประเภท โจโร เทศาตรี เพชฌฆาต ซึ่งนำผลร้ายมาให้ ส่วนการคำนวนสอบฤกษ์บน-ล่างให้ถูกต้องก็ต้องให้โหรเป็นผู้คำนวนจึงจะรู้ได้ หากได้สัมพันธ์กันทั้งฤกษ์ บน-ล่าง ก็นับว่าเป็นฤกษ์ที่ดีสำหรับตัวเราโดยบริสุทธิจริงๆ ก็จะบันดาลผลดีส่งอำนวยให้ หากฤกษ์บนดี แต่ฤกษ์ล่างไม่ดีก็อาจจะเป็นฤกษ์ที่ให้ผลดี-ร้ายคลุกเคล้ากันไป
ผู้คนส่วนมากมักจะละเลยการใช้ฤกษ์ยามที่ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์ ส่วนมากก็ใช้ฤกษ์สะดวก ฤกษ์ที่คิดเอาเอง ว่าดี เช่น วันที่ 9 ดี 9โมงเช้าดี วันศุกร์ดี วันที่เป็นวันสำคัญ เช่นวันสงกรานต์ วันวาเลนไทน์ วันขึ้นปีใหม่ วันขึ้น 15 ค่ำดี ตอนเช้าดี ฯลฯ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเป็นอย่างยิ่ง วันและเวลาดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องใดใดกับฤกษ์ แต่บางวันก็นับว่าให้โทษรุนแรงมากในเรื่องฤกก์ยาม เช่นวันสงกรานต์ ซึ่งทุกคนคิดว่าดีเป็นมงคล แต่ในคติทางโหราศาสตร์กลับเป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายราศียกเข้าราศีเมษ และเป็นวันสุดท้ายของปีนักษัตร (ซึ่งบางปีจะตกประมาณวันที่ 13 หรือ 14 หรือ 15 )ซึ่งเป็นกฏห้ามฤกษ์อันดับหนึ่งของโหร ห้ามให้ฤกษ์ใดใดเป็นอันขาด

อีกอย่างที่เป็นสมัยนิยมเช่นการตดทะเบียนสมรสในวันวาเลนไทน์ ซึ่งคิดว่าเป็นวันแห่งความรัก จะช่วยให้ความรักยั่งยืน แต่ในทางโหรนับว่าเป็นวันที่เสี่ยงเอาการ เพราะหากปีใดวันนั้นเป็นวันดีนั่นก็พอไปได้ แต่หากปีใดตกวันไม่ดี เรื่องร้ายๆระหว่างความรักย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่น่อน

จากปัจจุบันจะเห็นว่าเกิดสถิติการหย่าร้างสูง อุบัติเหตุทางรถยนต์ การตาย การบาดเจ็บ ก้เพราะคนในปัจจุบันไม่เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม หรือใช้ฤกษ์ยามแบบผิดๆที่ไม่ถูกต้องตามหลักโหรราศาสตร์

ทำไมจึงกล่าวอย่างนั้น ก้เพราะเหตุที่ว่า หากเราไปออกรถ หรือไปจดทะเบียนหรือลงทุนเข้าหุ้นส่วน เริ่มต้นทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งโดยไม่ได้ดูฤกษ์ แต่เรากลับไปทำการนั้นๆ แล้วเกิดปัญหาผิดพลาดขึ้นมา ลองเอาวันเวลาที่เราทำการนั้นไปสอบทานฤกษ์กับโหรผู้รู้โหราศาสตร์คำนวนแล้ว ท่านก็มักจะบอกเหตุร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราจากเวลาที่เราไปทำการนั้น(โดย ไม่ดูฤกษ์)ได้อย่างชัดเจน

ในทางกลับกันหากเราใช้ฤกษ์ยามเข้าช่วยแล้ว อย่างน้อยผลร้ายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นก็ถูกดวงฤกษ์ทำลายลบล้างไปหมด และกิจกรรมต่างๆที่กระทำไปก็สามารถที่จะหวังผลตามที่เราต้องการได้โดยการกำ หนดฤกษที่สอดคล้องกับกิจการนั้นๆ แต่หากปีนั้นดวงเราไม่เหมาะกับการกิจการใดใด โหรผู้คำนวนดวงชาตาและฤกษ์ก็จะสามารถบอกล่าวตักเตือนเราให้รู้เสียก่อนว่า ไม่ควรกระทำในช่วงเวลานั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลร้ายที่จะเกิดขึ้น เช่นห้ามลงทุน ห้ามเข้าหุ้นส่วน ห้ามแต่งงาน ฯลฯ

ปกติการคำนวนดวงฤกษ์และดวงชาตาใน สมัยก่อนค่อนข้างยุ่งยาก (เรียกว่าโหราศาสตร์ภาคคำนวน) เพราไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ เดี๋ยวนี้ง่ายกว่าเดิมมาก แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องมีหลักการมาประกอบมิฉะนั้นก็ไมาเข้าใจ(เรียกว่า โหราศาสตร์ภาคพยากรณ์) ปัจจุบันนี้ผมใช้โช้โปรแกรมโหราศาสตร์ของอินเดียชื่อ "จักรนารท โหราไลท์" มาช่วยในการคำนวน

โปรแกรมสามารถบอกรายละเอียดดวงชาตาและฤกษ์ยามบนท้องฟ้าตามหลักดาราศาสตร์ที่ถูกต้องขององค์การนาซา

การคำนวนกำลังของดาวเคราะห์หลายระบบ เช่น ษัฑพละ

การคำนวนทักษาเสวยอายุ เช่นระบบ วิมโษตรีทักษา ราศีทักษา นักษัตรทักษา ฯลฯ

การคำนวนโดยระบบอัษฐวรรค

การคำนวน จันทรการณ จากองศาดาวจันทร์

การคำนวน วรรคทั้ง 16 วรรค (โษทศวรรค) และการคำนวนในระบบโหราศาสตร์ภารตะที่ละเอียดซับซ้อนยิ่งนัก

การคำนวนพลังอิทธิพลของดวงอาทิตย์ที่มีต่อเจ้าชาตา

1.jpg   2.jpg   4.jpg

13.jpg   

ฤกษ์ดี-ชั่ว

 
ภาพ-การคำนวนดวงชาตาโดยใช้ระบบโหราศาสตร์ไทยโดยโปรแกรมของอ.พลังวัชร์
 
เมื่อรู้จักราศีและนวางศ์และขอบเขตของมันแล้วก็นำมาเรียงกันให้ครบ 360 องศาเป็นวงกลม
ทีนี้กลับมาที่

ฤกษ์ดี-ชั่ว  กันต่อ

เมื่อเรียงลำดับทั้ง 27 ฤกษ์ครบทั้งจักราศีแล้วเราก็มาดูว่าฤกษ์ที่มี 4บาท (มี4ขา) ขาไหนคาบเกี่ยวกับไปราศีข้างหน้าหรือฤกษ์ไหนมีขาไปเกี่ยวกับราศีหลัง และฤกษ์ไหนอยู่ในราศีครบทั้งสี่บาท(สี่ขา) ภาษาโหรเรียกว่าฤกษ์คาบเกี่ยวอดีตไปกี่บาท ไปอนาคตกี่บาท ที่นี้ก็มีชื่อเรียกดังนี้
ก.บูรณฤกษ์ คือฤกษ์ที่นวางค์ทั้งสี่ลูกอาศัยในราศีใดราศีหนึ่ง ไม่คร่อมสองราศี เรียกว่าฤกษ์ดี สมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์

ข. ฉินทฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่ลูกนวางค์ทั้งสี่อยู่คร่อม ทั้งสองราศีซึ่งมีคือ เอกตรีนิคือฤกษ์ที่นวางค์ลูกแรกอยู่ราศีหนึ่ง อีกสามลูกไปอยู่ในราศีถัดไป ตรีนิเอก กลับกันกับเอกตรีนิคือฤกษ์ที่นวางค์สาม ลูกแรกอยู่ราศีที่หนึ่ง แต่นวางค์ลูกสุดท้ายไปอยู่ราศีถัดไปเรียกว่าฤกษ์ชั่ว

ค. ภิณทฤกษ์หรือฤกษ์อกแตก ฤกษ์นี้นวางค์สี่ ลูกของฤกษ์แบ่งครึ่งอยู่คนละราศี เรียกว่าฤกษ์ชั่ว(มาก)
แล้วก็มาดูว่าฤกษ์ทั้ง 27 กลุ่มๆไหนตรงกับกฏเกณฑ์ 3ข้อที่ว่านี้ก็ ตัดสินได้ว่ากลุ่มฤกษ์ไหนดี-ชั่ว
เมื่อเราแบ่งฤกษ์ได้แล้ว รู้ว่าอันไหนดีชั่วแล้วก็มาดูชื่อที่เราใช้เรียกกันตามลำดับ ก็คือ ทลิทโท มหัธโณ ฯลฯ แล้วก็เรียงไปให้ครบ 9 ชื่อ 9ดาวฤกษ์ แล้วก็ซ้ำอีก 2 ครั้งตามกลุ่ม ที่แบ่งซึ่งทุกกลุ่ม(1กลุ่มมี 9 กลุ่มดาวฤกษ์) ก็จะมีฤกษ์ ทลิทโท มหัธโณ โจโร ฯลฯ เหมือนกัน

เมื่อได้ชื่อดาวฤกษ์ ราศี บาทฤกษ์ ชื่อฤกษ์ เราก็จะพบว่าฤกษ์ดีชั่วมีผลออกมาดังนี้
ฤกษ์ดี หรือ ฤกษ์บริสุทธิ์ (บูรณะฤกษ์) ได้แก่ ทลิทโท มหัทธโน ภูมิปาโล เทวี ราชา สมโณ
ฤกษ์ไม่ดี หรือ ฤกษ์แตก (ฉินทฤกษ์ ภิณทฤกษ์) ได้แก่ โจโร เทศาตรี เพชฌฆาต


นี่ เรียกว่าฤกษ์บน (ท้องฟ้า) สำหรับดูความเป็นพลังศุภมงคลจากฟากฟ้า ตามที่เรามักเห็นทั่วไปตามปฎิทินโหรนั่นแหละครับ ว่าวันนี้เป็นวันดี ฯลฯ ตามฤกษ์อะไรเป็นต้น --แต่--- ฤกษ์ยามที่เราจะใช้สำหรับประกอบกิจกรรมที่เป็นมงคลเฉพาะตัวของเรา ไม่ใช่ใช้ฤกษ์บนอย่างเดียวนะครับ เพราะต้องใช้ดวงชาตากำเนิดเรามาเทียบกับฤกษ์บนว่าสัมพันธ์กันหรือไม่ อันนี้เรียกว่า"ฤกษ์ล่าง" ซึ่งหลายๆคนมักไม่รู้ เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ....

กลุ่มดาวฤกษ์ที่มี 27 กลุ่ม





http://files.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1101763&stc=1&thumb=1&d=1282460428

ทั้งหมดนี้เรียกว่ากลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง27 กลุ่ม ซึ่งเป็นหลักที่เราจะนำมาคำนวนพลังของกลุ่มดาวฤกษ์ว่ามีอิทธิพลดีร้ายต่อดวง ชาตาอย่างไร ที่นี้ก็มาดูว่ากลุ่มดาวฤกษ์ที่มี 27 กลุ่มนั้นก็ได้ถูกแบ่งย่อยตามอิทธิพลของดวงดาวออกมาเป็น 3 กลุ่มใหญ่กลุ่มละ 9 ดาวฤกษ์แต่มี 9 ชนิดหรือลักษณะ(อิทธิพล) ที่เราเรียกว่าฤกษ์จริงๆก็คือตรงนี้ โดยอิทธิพลของกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง 9 ชนิดนั้นก็มีชื่อเรียกและความหมายดังนี้

  1. ทลิทโทฤกษ์ แปลว่า ผู้ขอ ขอทาน คนมักน้อย คนใจดีมีเมตตา
  2. มหัทธโณฤกษ์ แปลว่า คนมีทรัพย์ เศรษฐี
  3. โจโรฤกษ์ แปลว่าโจร ขโมย การต้อสู้แย่งชิง
  4. ภูมิปาโลฤกษ์ แปลว่า ผู้รักษาแผ่นดิน
  5. เทศาตรีฤกษ์ แปลว่า สามแผ่นดิน คนต่างถิ่น หญิงแพศยา (เวสิโย)
  6. เทวีฤกษ์ แปลว่า นางพญา งามสง่า มีเสน่ห์ ราชินี
  7. เพชฌฆาตฤกษ์ แปลว่า ผู้ฆ่า เพชฌฆาต
  8. ราชาฤกษ์ แปลว่า พระราชา ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
  9. สมโณฤกษ์ แปลว่า ผู้รักสงบ นักพรต นักบวช ฤาษี
เมื่อ รู้คำแปลแล้วก็อย่าตกใจ เพราะนั่นเป็นเพียงชื่อเรียกขานเท่านั้น ฤกษ์บางฤกษ์ก็มีความเหมาะสมกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ชื่อฤกษ์ก็เพียงชื่อ เช่นเพชฌฆาตฤกษ์ก็เหมาะสำหรับการปลุกเสก อาคมของขลัง ตัดลูกนิมิต ผูกพัทธสีมา ฯลฯ ไม่ใช่เอาไว้ไปฆ่าใคร เพราะเพฆฌฆาตจริงๆแล้วแปลว่า”ผู้ตัด” อาจจะจะไปตัดอะไรก็ได้จะไปตัดหัวคนหรือตัดกิเลสก็ได้ทั้งนั้น

ภาพ-โปรแกรมโหราศาสตร์ (ปุโรหิต)

ส่วน เทศาตรี แปลว่าหญิงแพศยาก็เหมาะสำหรับเปิดร้านค้า ขายอาหารของกินของใช้ โรงมหสพ ให้คนเข้าไปใช้บริการมากๆแบบไม่เลือกชั้นวรรรณะ ยากดีมีจน คนชั่วคนดี เข้าไปได้หมด เปรียบเหมือนหญิงแพศยาที่คบกับใครไม่เลือกหน้า อะไรประมาณนั้น

อย่าง ไรก็ตามทางโหรก็มีกฏเกณฑ์ที่พอจะบอกได้ว่า ฤกษ์ทั้ง 9 ชนิดนี้ ฤกษ์ไหนดีฤกษ์ไหนชั่วเป็นเบื้องต้นก่อน (คำว่า”ฤกษ์ชั่ว”เป็นภาษาโหรนะครับแปลว่าไม่ดี) โดยกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง 27 กลุ่มนี้ก็ได้ถูกจักรราศีทั้ง 12 ราศีครอบทับอีกที โดยจักรราศีมีลักษณะเป็นวงกลม มี 360 องศา และในจักรราศีก็มี 12 ราศี ๆละ 30องศา โดยมีหลักการคำนวน ดังนี้
12 ราศี = 360 องศา
1 ราศี = 30 องศา
1 องศา = 60 ลิปดา
1 ลิปดา = 60 ฟิลิปดา
ส่วน 27 กลุ่มดาวฤกษ์มีระยะหรือาณาเขตคาบเกี่ยวกันกับอาณาเขตของราศี มีหลักการคำนวนดังนี้
27 ฤกษ์ = 360 องศา
หรือ 1 ฤกษ์ = 360/27 = 40/3 องศา
= 40x60/3 ลิปดา = 800 ลิปดา
เพื่อเป็นการสะดวกในการคำนวนระหว่างตัว ร่วมของเขตของราศีกับขอบ เขตของ กลุ่มดาวฤกษ์ในจักราศี ก็เลยมีการค้นคิด นว-อัมศะ (แปลว่า 9 ส่วน) หรือเรียกว่า”นวางศ์”มาประกอบ โดยในจักราศีทั้ง 360 องศานี้แบ่งเป็น 108 นวางค์
ฉะนั้น 1 นวางค์ = 30/9 องศา = 30x60/9 ลิปดา = 200 ลิปดา
1 ราศี = 9 นวางค์
1 ฤกษ์ = 4 นวางค์
เมื่อเรารู้แล้วว่าใน1ราศีมี 30 องศา และมี 9 นวางศ์ เราเรียกชื่อตามลำดับว่า ปฐมนวางศ, ทุติยนวางศ, ตติยนวางศ, จตุตถนวางศ, ปัญจมนวางศ, ฉัฏฐมนวางศ, สัตตมนวางศ, อัฏฐมนวางศ และ นวมนวางศตามลำดับจริงๆก็แปลว่า นวางศลูกที่ 1,2,3-9
และก็มีการแบ่ง1ราศีออกเป็นสามส่วนละ 10 องศาเรียกว่าตรียางค์ โดยรวมเอาทุกๆ 3 นวางค์ เป็น 1 ตรียางค์ และได้มีการกำหนดชื่อเรียกแต่ละ ตรียางค์ภายในราศีว่า ปฐมตรียางค์, ทุติยตรียางค์, ตติยตรียางค์ตามลำดับ
ส่วนฤกษ์ทั้ง 27 ดาวฤกษ์ ก็แบ่งส่วนเป็น 1 ฤกษ์ ซึ่งมี 4 นวางค์ ได้มีการกำหนดชื่อเรียกแต่ละ นวางค์ภายในฤกษ์ ว่า ปฐมบาท, ทุติยบาท, ตติยบาท และ จตุตถบาท ตามลำดับ



ที่มาของฤกษ์

ที่มาของฤกษ์


คำว่าฤกษ์ส่วนมากจะสับสนกันมากว่าอันไหนเป็นฤกษ์สำหรับตัวเราและอันไหน เป็นฤกษ์สำหรับประกอบกิจกรรมที่เราต้องการจะเริ่มต้นใหม่เพื่อให้เกิดสวัด ิมงคล ตามหลักโหรพรามณ์(โหรภารตะ) และหลักโหราศาสตร์ไทยชั้นสูงส่วนมากก็มีหลักการคล้ายๆกัน แทบจะเรียกว่าเป็นระบบแบบแผนเดียวกัน ซึ่งฤกษ์ในที่นี้ก็คือการคำนวนตามหลักดาราศาสตร์โดยอ้างอิงการโคจรของพระ จันทร์ที่โคจรไปรอบจักรราศีทั้ง 12 ราศี ซึ่งก็มีประวัติสืบทอดยาวนานมากว่า 5000 ปีมาแล้ว ซึ่งในราศีทั้ง 12 ราศีนี้ก็จะมีกลุ่มดาวฤกษ์ (Fixed Star) ที่สถิตย์อยู่คงที่ เรียงรายล้อมจักรราศีชั้นนอกเป็นรัศมี 360 องศาตามจักราศี โดยโหราศาสตร์ระบบดั้งเดิมของอินเดีย ใช้ระบบ 28 นักษัตร (เหมือนของจีน) ต่อมาในยุคหลัง(ก็ประมาณพันกว่าปีมาแล้ว)โหราศาตร์อินเดียได้มีการปรับปรุง ลดลงให้คงไว้เพียง 27 กลุ่ม เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวนโดยระบบคณิตศาสตร์ระยะเชิงมุม(ตรีโกณมิติ) ซึ่งกลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ ก็ได้จัดเรียงและกำหนดชื่อไว้ดังนี้



๑. อัศวินี, อัสสนี (ดาวม้า ดาวคู่ม้า หรือ ดาวอัศวยุ ช) มี ๗ ดวง
๒. ภรณี (ดาวก้อนเส้า) มี ๓ ดวง
๓. กฤติกา, กฤตติกา, กัตติกา (ดาวธงสามเหลี่ยม หรือ ดาวลูกไก่) มี ๘ ดวง
๔. โรหิณี (ดาวพราหมีดาว ปลาตะเพียน หรือ ดาวคางหมู) มี ๗ ดวง
๕. มฤคศิร, มฤคเศียร, มิคสิระ (ดาวหัวเต่าดาวหัวเนื้อ ดาวศีรษะ เนื้อ ดาวศีรษะโค ดาวมฤคศิรัส หรือ ดาวอาครหายณี) มี ๓ ดวง
๖. อารทรา, อทระ (ดาวอัททา ดาวตัวโค หรือ ดาวตาสําเภา) มี ๑ ดวง
๗. ปุนัพสุ, ปุนัพพสู (ดาวหัวสําเภา ดาวสําเภาทอง ดาวสะเภา ดาวยามเกา หรือ ดาวตาเรือชัย) มี ๓ ดวง
๘. บุษยะ, บุษย์, ปุษยะ, ปุสสะ (ดาวปุยฝ้าย ดาวพวงดอกไม้ ดาวดอกบัว ดาวโลง ดาวปู ดาวสมอสําเภา หรือ ดาวสิธยะ) มี ๕ ดวง
๙. อาศเลษา, อสิเลสะ (ดาวเรือน หรือ ดาวนกอยู่ในปล่อง) มี ๕ ดวง
๑๐. มฆ, มฆา, มาฆะ (ดาวโคมูตร ดาววานร ดาวงอนไถ หรือ ดาวงูผู้) มี ๕ ดวง
๑๑. บุรพผลคุนี, ปุรพผลคุนี, ปุพพผลคุนี (ดาววัวตัวผู้ หรือ ดาว งูเมีย) มี ๒ ดวง
๑๒. อุตรผลคุนี, อุตตรผลคุนี (ดาวเพดาน หรือ ดาววัว ตัวเมีย) มี ๒ ดวง
๑๓. หัสต, หัสตะ, หัฏฐะ (ดาวศอกคู้ หรือ ดาวศีรษะช้าง) มี ๕ ดวง
๑๔. จิตระ, จิตรา (ดาวต่อมนํ้า ดาวไต้ไฟ ดาวตาจระเข้ หรือ ดาวเสือ) มี ๑ ดวง
๑๕. สวาดิ, สวาตี, สวัสติ (ดาวช้างพัง หรือ ดาวงูเหลือม) มี ๕ ดวง
๑๖. วิศาขา, วิสาขะ (ดาวคันฉัตร หรือ ดาวศีรษะกระบือ) มี ๕ ดวง
๑๗. อนุราธ, อนุราธะ, อนุราธา (ดาวประจําฉัตร หรือ ดาวนกยูง) มี ๔ ดวง
๑๘. เชฏฐะ, เชษฐา (ดาวงาช้าง ดาวช้างใหญ่ ดาวคอนาค หรือ ดาวแพะ) มี ๑๔ ดวง
๑๙. มูล, มูละ, มูลา (ดาวช้างน้อย หรือ ดาวแมว) มี ๙ ดวง
๒๐. ปุรพษาฒ, บุรพอาษาฒ,บุพพาสาฬหะ (ดาวสัปคับช้าง หรือ ดาว ราชสีห์ตัวผู้) มี ๓ ดวง
๒๑. อุตราษาฒ, อุตตรอาษาฒ, อุตตราสาฬหะ (ดาวแตรงอน หรือ ดาวราชสีห์ตัวเมีย) มี ๕ ดวง
๒๒. ศรวณะ, ศระวณ, สาวนะ (ดาวหลักชัย หรือ ดาวพระฤๅษี) มี ๓ ดวง
๒๓. ธนิษฐะ, ธนิษฐา (ดาวศรวิษฐา ดาวเศรษฐี หรือ ดาวไซ) มี ๔ ดวง
๒๔. ศตภิษัช, สตภิสชะ (ดาวพิมพ์ทอง หรือ ดาวยักษ์) มี ๔ ดวง
๒๕. บุรพภัทรบท, ปุพพภัททะ (ดาวโปฐบท ดาวแรดตัวผู้ หรือ ดาวหัวเนื้อทราย) มี ๒ ดวง
๒๖. อุตรภัทรบท, อุตตรภัทรบท, อุตตรภัททะ (ดาวแรดตัวเมีย หรือ ดาวไม้เท้า) มี ๒ดวง
๒๗. เรวดี (ดาวปลาตะเพียน หรือ ดาวนาง) มี ๑๖ ดวง. (ส.; ป. นกฺขตฺต). __________________

วิธีการใช้ฤกษ์


วิธีการใช้ฤกษ์


ดวงชาตาที่ผูกออกมาให้ตามระบบโหราศาสตร์ และดวงฤกษ์ที่ให้ไป (PDF File) สามารถที่จะพิมพ์ออกมาใช้ได้หลายๆใบ สำหรับเอาไว้บูชาฤกษ์และดวงชาตาของตัวเอง หรือเอาไปให้โหรทำนายดวงชาตา หรือให้พระท่านสวดแผ่นดวงชาตาเสริมศิริมงคลได้ หรือ เอาไปจารใส่แผ่นทองแดงนากเงิน เพื่อบรรจุใต้ฐานพระประธานเพื่อเสริมชาตาได้นะครับ ส่วนการยกเสาเอก การวางศิลาฤกษ์ การตั้งศาลให้นำดวงฤกษ์ที่ให้มานี้จารลงไปในแผ่นทองแดง แล้วบรรจุลงไปพร้อมกันด้วยนะครับ
การใช้ฤกษ์
การให้ฤกษ์โดยระบบโหราศาสตร์ภารตะหรือโหราศาสตร์แบบโหรพรามณ์ ซึ่งเป็นระบบเดียวกันกับโหราศาสตร์ไทยชั้นสูงที่ใช้กันในบุคคลชั้นสูงและการ กำหนดพิธีกรรมในพระราชพิธีต่างของกษัตริย์ในสมัยโบราณ มีการคำนวนโดยวิธีการสลับซับซ้อนทางดาราศาสตร์และหลักการทางโหรซึ่งต่างกับ โหราศาสตร์ระบบอื่นๆ และกำหนดเป็นฤกษ์ยามเฉพาะตัวบุคคลนั้นๆในการทำการต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์เพียงเจ้าของฤกษ์คนเดียวเท่านั้น ผู้อื่นจะนำไปใช้ก็จะไม่เกิดผลดีตามฤกษ์ที่กำหนดไว้
บางคนชอบโทรมาถามว่าวันนี้เป็นวันดีไหม ผมตอบไม่ได้หรอกครับเพราะฤกษ์มีทั้งฤกษ์บนฤกษ์ล่าง ฤกษ์บนก็คือวันที่ดวงดาวบนท้องฟ้าให้พลังที่เป็นศุภผล เป็นวันดีก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้ทุกคน หรือวันนี้เป็นวันดีฤกษ์ดีแต่จะดีตลอดทั้งวันก็หาไม่ และหากไปคำนวนดูชาตากำเนิดของเรา(ฤกษ์ล่าง) ก็อาจจะขัดแย้งกับฤกษ์บน(ท้องฟ้า) ก็ทำการมงคลในวันนั้นไม่ได้อีก ที่พูดวันว่าวันนี้วันดีก็มิใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะฉะนั้นเข้าใจไว้ว่าวันดีมีทุกวัน แต่ฤกษ์ที่ดีเหมาะกับเรานั้นอาจจะทั้งปีมีแค่วันเดียว ส่วนวันร้ายก็มีทุกวันเหมือนกัน แต่จะร้ายกับเราทุกวันก็ไม่ใช่ ฉะนั้นฤกษ์ยามก็คือการคำนวนพลังความสัมพันธ์ระหว่างดาวบนท้องฟ้ากับมนุษย์ ที่อยู่บนดินให้สัมพันธ์กันนั่นเอง

  1. เมื่อได้ฤกษ์ยามได้กำหนดไว้แล้วให้เตรียมการล่วงหน้าแต่เนิ่นๆเพื่อจะได้ไม่ให้ผิดพลาด เพราะหัวใจของฤกษ์ยามก็คือ”เวลา” ที่เป็นศุภผล
  2. ใน การให้ฤกษ์ผมจะคำนวนเวลาที่เหมาะสมกับดวงชาตาของท่านที่ดี่ที่สุด เพียงฤกษ์เดียวเท่านั้น บางคนพยายามขอหลายๆวันเผื่อเลือก ซึ่งฤกษ์ที่ให้แต่ละฤกษ์คำนวนด้วยความยากลำบากมาก เพราะผมคำนวนด้วยมือ ดวชาตาแต่ละดวงชาตา อย่างน้อยก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง และสอบทานฤกษ์ในกฏเกณฑ์อื่นๆอีกเป็นวันๆ (ไม่ใช่ฤกษ์ประเภทเปิดหนังสือดูปฎิทินแล้วให้ฤกษ์อย่างที่เราคุ้ยเคยกัน ซึ่ง 5 นาทีก็ให้ฤกษ์กันได้แล้ว)
  3. อย่างไรก็ตามการใช้ฤกษ์ชั้นสูงนี้มักจะมีเหตุที่ทำให้เจ้าการมักจะใช้ไม่ได้ ตามเวลาที่กำหนดอยู่บ่อยครั้งอันเนื่องมาจาก ดวงฤกษ์ที่สูงเกินวาสนาของเจ้าการ(เจ้าของดวง) หรือเจ้าของดวงมีเหตุที่ถูกอุปสรรคขัดขวางจากเจ้ากรรมนายเวร หรือวิบากกรรมอื่นๆ ที่จะไม่ไห้ได้ผลสำเร็จตามฤกษ์นั้นๆ เช่นว่า จะต้องออกรถในวันนี้ตามฤกษ์ แต่บังเอิญรถยังไม่เรียบร้อย ก็ออกรถในวันนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องระวัง
  4. การใช้เวลาตามฤกษ์ ควรจะต้องคำนวนเวลาให้ตรงตามเวลาท้องถิ่นที่เป็น มาตรฐานสำหรับสถานที่นั้นๆ หรืออย่างน้อยนาฬิกาจะต้องตรง โดยเทียบจากเวลามาตรฐานของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ โดยโทรไปที่หมายเลข 181
ซึ่งจะบอกเวลามาตรฐานประเทศไทย ซึ่งผมใช้เวลามาตรฐานประเทศไทยนี้คำนวนฤกษ์ ฉะนั้นจะต้องตรงกันทั้งสองฝ่าย
  1. เวลา จากดวงฤกษ์ที่ให้เป็นการคำนวนเวลาเริ่มต้นของฤกษ์ และจะสิ้นสุดฤกษ์ เช่นฤกษ์ที่กำหนดเป็นเวลา 09.11 น. -09.29 น. หมายความว่าหัวใจในการทำกิจกรรมนั้นๆจะต้องเริ่มต้นในเวลา 09.11 น.จนถึง 09.29 น. (ปกติผมจะให้เวลาเริ่มต้นและเวลาสุดฤกษ์เอาไว้ให้) เช่นการลงเสาเอก จะต้องกระทำการยกเสาลงหลุมให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด หรือการลาสิกขาบท ต้องให้การสวดบทขอลาสิกขาเริ่มต้นภายในเวลานี้ หรือการเอาผ้าสังฆาฏิออกจากตัว(แล้วแต่กรณี) ส่วนการตั้งศาลก็ให้ถือเอาเวลาที่อัญเชิญเจว็ดเข้าประทับในศาลหรือการตอกไม้ มงคลวางรากฐานเพื่อยกเสาของศาล(แล้วแต่กรณี) ส่วนกิจกรรมอื่นๆให้เทียบเคียงเอาตามนี้
  2. ส่วนหากกิจกรรมนั้นๆต้อง ใช้ระยะเวลามากกว่านี้ก็จะต้องให้มีการทำ กิจกรรมต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอนหรือหยุดไปกลางคัน ก็ยังถือเวลาอยู่ในเวลาของฤกษ์ได้
  3. แผ่นดวงฤกษ์พิมพ์ออกมาจากไฟล์ ที่ผมให้มา เมื่อใช้เสร็จแล้ว ให้ใส่กรอบหรือไว้ที่หิ้งพระเอาไว้บูชาถือว่าได้บูชาเสริมดวงชาตาและดวงฤกษ์ ของเราให้เกิดผลดีตลอดไป หากไม่สามารถทำได้ให้ทำการเผาด้วยไฟเท่านั้น ห้ามนำไปทิ้งในถังขยะ
  4. การใช้ฤกษ์ให้เกิดผลดีและเกิดศุภผลตามที่ ท่านต้องการ อย่างน้อยที่สุดท่านจะต้องสมาทานศีล 5 รักษากายวาจาใจให้บริสุทธิ์ และในขณะที่กระทำการตามฤกษ์นั้นๆ จิตใจจะต้องแน่วแน่มั่นคงไม่หวั่นไหว ห้ามมีอารมณ์โกรธเคือง โมโห หรือมีเจตนาจะไปประทุษร้ายต่อใคร จิตใจต้องไม่วอกแวก สับสน วิตกกังวล ฯลฯ เมื่อทำได้ครบตามที่กล่าวแล้วดวงฤกษ์ก็จะมีอิทธิพลังเป็นศุภผลส่งผลเกิดผลดี ให้แก่ดวงชาตา และเกิดความเจริญรุ่งเรืองสืบไป
  5. บางคนมักชอบว่า มาขอฤกษ์กับผมต้องรอนานมากๆกว่าจะได้ บางคนเป็นเดือน บางคน สามเดือน บางคนรอมาหลายเดือนก็ไม่มีฤกษ์จะให้ ต้องขอชี้แจงอย่างนี้ว่า โหราศาสตร์ระบบนี้ไม่เหมือนระบบอื่น โหรผู้ให้ฤกษ์ ต้องต้องดูฤกษ์สำหรับการให้ฤกษ์ก่อนเหมือนกัน ไม่สามารถทำแบบสุกเอาเผากินไม่ได้ โหรผู้คำนวนฤกษ์ก็ต้องตรวจดวงดาวบนท้องฟ้าก่อนว่าวันไหนเหมาะแก่การคำนวน ฤกษ์ วันไหนห้ามคำนวนฤกษ์ เช่น วันสิ้นปี สิ้นเดือน สิ้นปีนักษัตร วันพระจันทร์ดับ พระจันเทร์เต็มดวง วันโกน วันพระ วันดาวดับบนฟ้า วันที่ดาวพุธโคจรวิกลคตพักรองศา(อันนี้อาจต้องรอเป็นเดือน) วันที่มีคราส (ภายในหน้าหลัง 7 -14 วัน) ก็คำนวนฤกษ์ไม่ได้ เมื่อได้วันแล้วก็ต้องอาบน้ำชำระร่างกาย จุดธูปเทียนบูชาพระ พ่อแม่ครูอาจารย์ ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ก่อนทำการคำนวนดวงฤกษ์ทุกครั้งไป ฉะนั้นฤกษ์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไรก็ต้องดูชาตาและวาสนาของเจ้าชาตาก่อนด้วย

กฏเกณฑ์ของโหรว่าด้วยเรื่องฤกษ์


ว่ากันมายาวที่นี้ลองมาดูกฏเกณฑ์ของโหรว่าด้วยเรื่องฤกษ์กันบ้าง หลักใหญ่มีดังนี้

1.ห้ามวันที่พระเคราะห์ดับ หรือวันที่ดาวเคาระห์ทำมุม 0 องศากับดาวอาทิตย์ หากให้ฤกษ์ยามในวันแบบนี้เรียกว่าความวิบัติ จะเกิดขึ้นไม่เกิน 1เดือนหลักจากเริ่มทำการ ซึ่งพึงสังวรระวังกันให้มากๆ สำหรับนักโหราศาสตร์ทั้งหลาย

2.ห้ามวันพระเคาระห์เพ็ญ คือห้ามมีดาวดวงใดดวงหนึ่งในดวงฤกษ์ ทำมุม 180 องศากับดาวอาทิตย์ นัยว่าจะเกิดเหตุขัดแย้งกันรุนแรงถึงขั้นแตกหักกันเลยก็ว่าได้ ส่วนจะเกิดเรื่องอะไรนั้นก็ดูว่า ดาวดวงนั้นเป็นดาวอะไรอยู่ภพอะไร มีความหมายว่าอย่างไร

3.ห้ามวันพระเคาระห์ใหญ่ทำมุม จตุโกณแก่กัน พระเคาระห์ใหญ่ๆก็เช่นว่า ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ อังคาร ราหู

4.ลัคนาในดวงฤกษ์จะต้องไม่เป็นทุสถานะแก่เจ้าการ เช่นว่าไม่เป็น 6 เป็น 8 เป็น 12 บางครั้งแม้แต่จันทร์ในดวงฤกษ์ก็ไม่ควร

5.อย่าให้มีดาวเคาระห์สถิตย์อยุ่ทุสถานะภพในดวงฤกษ์ ข้อนี้ก้อาจจะยากสักหน่อย แต่อย่างไรก็ตามนักโหราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญก็อาจจะปรุงดาวเคาระห์ให้อยู่ใน กฏเกณฑ์ที่พอจะช่วยเหลือได้ เช่น เอาดาวบาปเคาระห์ไปอยู่ในเรือนอุปจัยแทน เช่น เรือนที่ 3 เรือนที่ 6 เรื่อนที่ 10 และ 11

6.อย่าให้ลัคนาลอย จะต้องมีดาวกุมลัคนาในดวงฤกษ์ด้วยเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง

7. การวางลัคนาควรให้เกาะนวางค์บาทที่เป็นราศีธาตุเดียวกัน เช่นลัคนาราศีธาตุไฟเช่นราศี เมษ สิงห์ ธนู ให้วางที่นวางค์อาทิตย์ (นวางศ์ที่ 5)

8.ห้ามวางลัคนาเกาะบาท”ฉินทฤกษ์” ก็คือ นวางค์แรกของราศีธาตุน้ำคือ ราศีกรกฏ พิจิก มีน และนวางค์สุดท้ายของราศีธาตุไฟ ซึ่งก็คือราศี เมษ สิงห์ ธนู อันนี้รวมความถึง “ภินทฤกษ์”ด้วย ซึ่งเป็นนวางค์บาทฤกษ์ที่ไม่บริบูรณ์ มีอดีตและอนาคตของบาทฤกษ์เกาะไปข้ามเกี่ยวของขอบเขตของราศีถัดไป นวางบาทฤกษ์เช่นนี้ไม่เป็นบูรณฤกษ์ หากไปทำการใดใดเข้า ผลร้ายและวิบัติต่างๆจะตามมามากมาย

9.ปรับใช้ ธรรมเนียมเก่า เช่น ดิถีต่างๆ จักขุมายา และกาลโยคประจำปีด้วย เนื่องจากโบราณที่ใช้มาแต่เดิม หากจะใช้แต่ขัดกับกาลโยคของชาวบ้าน ก็มักจะมีเหตุให้คนครหาเอาได้
จริงแล้วกฏเกณฑ์มีมากกว่านี้นับสิบๆข้อ แต่ก็อธิบายพอเป็นสังเขปเท่านั้น

การให้ฤกษ์ฉบับง่าย โดย “พลูหลวง”

การให้ฤกษ์ฉบับง่าย

โดย

พลูหลวง



กฎเกณฑ์การให้ฤกษ์ฉบับง่ายสำหรับชาวบ้านทั่วไป รวมทั้งข้อห้ามกับเคล็ด

 ในการปฏิบัติตนให้ถูกต้องในกาลเทศะต่าง ๆ ด้วย 

 การให้ฤกษ์ฉบับง่าย

                    มีผู้สนใจต่อศาสตร์ของคนโบราณ  เช่นการดูฤกษ์ยามสมัยก่อนเขามีวิธีในการดูหรือเลือกวันเดือนปี  อันถูกต้องได้อย่างไร  ในเมื่อห่างไกลจากโหราจารย์  ขอนี้ขอตอบว่าในสมัยก่อนนั้นท่าน  นิยมจดตำรับตำราไว้ท่องจำกัน  แม้ ว่าจะไม่ถูกตามหลักการให้ฤกษ์ยามตามวิธีโหราศาสตร์อันแท้แต่ก็แก้ขัดไปได้ ด้วยโบราณาจารย์ท่านได้คำนวณวางกฏเกณฑ์ไว้อย่างแยบยลดีแล้ว  ใคร่ขอแนะไว้พอเป็นแนวปฏิบัติสำหรับผู้ที่สนใจดังนี้

          ๑.  ประการแรกให้เลือก  เดือนอันเหมาะสมสำหรับกิจการ  ถ้าเป็นงานมงคล เช่นงานสมรส  ปลูกบ้านขึ้นบ้านใหม่  มันนิยมเดือนคู่ทางจันทรคติคือเดือนไทย
          อย่างเช่นการปลูกเรือน  นิยมเดือน ๒ , ๔ , ๖ , ๙ , ๑๒ ส่วนใหญ่เป็นเดือนคู่มียกเว้นเดือน ๘  ไม่นิยมกันจะทำให้ร้อน  ส่วนเดือน๙  แม้เป็นเดือนคี่  ก็ถือว่าดีเพราะเลข ๙  เป็นเลขที่ดี   น่าสังเกตว่าเดือน ๓      สามเดือนนี้เป็นเลขของดาวปาปเคราะห์ท่านไม่นิยมกัน

          ๒.  วันอังคารกับวันเสาร์  เป็นวันของดาวบาปเคราะห์  ไม่นิยมให้ฤกษ์มงคลกับผู้ใดไม่ว่าผู้นั้นจะเกิดในวันใด ๆ ทั้งสิ้น
          วันพฤหัสบดีเป็นวันครู  เหมาะสำหรับไหว้ครูหรือเรียนวิชาต่าง ๆ จะไหว้ครูวันอื่นไม่ได้ต้องวันนี้โดยตรง  ห้ามแต่งงาน  หรือใช้ในกิจกรรมอันต่ำ
          วันศุกร์ห้ามเผาผี
          วันพุธห้ามแต่งงาน  ด้วยทางโหราศาสตร์ถือว่าพุธรวนเร  ยังห้ามหมั้นหมายอีกด้วย
          วันจันทร์แม้จะเหมาะในการมงคล ถ้ากิจการแข็ง ๆ ก็ไม่นิยมกัน
          กระทิงวัน  คือเลขของวันและเดือนตรงกัน  ถือว่าเป็นวันแข็งไม่นิยมในการมงคล  ยิ่งเลขของปีตรงกันก็ยิ่งแข็งมาก  อย่างเช่น  วันอังคาร (เลข ๓)  เดือน ๓  ปีขาล (เลข ๓)  แบบนี้ถือว่าแข็งมากควรงดเว้นงานมงคล  แต่วันแข็ง ๆ เช่นนี้กลับเหมาะสำหรับการ  ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง  และคาถาอาคม
          วันศุกร์ กิจกรรมที่เกี่ยวกับศิลป์  ความงามธุรกิจบันเทิง  สถานเริงรมย์ต่าง ๆ  ถ้าให้ฤกษ์ในวันนี้วิเศษนัก  วันพฤหัสบดีห้ามขาด
                   วันจันทร์  เหมาะสำหรับกิจการสตรีโดยตรง  หรือกิจการเกี่ยวกับน้ำ
                   วันอาทิตย์ เหมาะสำหรับกิจการเกี่ยวกับ  ความเข้มแข็ง  และเกี่ยวกับเพศชาย

                   ๓.  ดิถี  คือขึ้นแรมอันเหมาะสม  ซึ่งสมัยโบราณนับถือกันมาก  ดิถีดีมีดังนี้
                   อาทิตย์  จันทร์  อังคาร  พุธ   พฤหัสบดี   ศุกร์  เสาร์
อมฤตโชค                                                       
มหาสิทธิโชค  ๑๔       ๑๒     ๑๓                        ๑๐    ๑๕
สิทธิโชค        ๑๓             ๑๔      ๑๐                 ๑๑    ๑๕
ชัยโชค                          ๑๑      ๑๐                       ๑๑
ราชาโชค                                        ๑๐               

                   ดิถีเหล่านี้ถือว่าดี  ลดหลั่นลงมาตามลำดับ  เช่น วันจันทร์ขึ้นสามค่ำ  เรียนว่าจันทร์ตรีเป็นอมฤตโชค  ถือว่าดีมาก  หรือจะใช้  ๑๒ , ๕ ค่ำก็ได้ดีลงมาตามลำดับ  ใช้ได้ทั้งข้างขึ้นข้างแรม แต่ก็ยกย่องกันว่าข้างขึ้นดีกว่าข้างแรม


                   มีเคล็ดในการเลือกข้างขึ้น  ข้างแรม ก็คือถ้าฤกษ์เกี่ยวกับงานมงคล  ข้างขึ้นดี  แต่ถ้าเป็นฤกษ์เกี่ยวกับการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง การคงกระพันชาตรี และแคล้วคลาดแล้ว  ข้างแรมดี

                   การเดินทางไกลการหลบลี้หนีศัตรู  กิจการไนท์คลับ   และกิจการเกี่ยวกับน้ำแล้วถือว่าข้างแรมดี  บุคคลเกิดข้างแรม  บางทีข้างแรมก็เหมาะสำหรับตน

                   การแต่งงานอย่างหนึ่ง  คนโบราณถือกันมากจำเป็นต้องดูดิถีประกอบ  เรียกว่าดิถีเรียงหมอนหรือดิถีแมลงปอ  ถ้าเลือกดิถีตรงตามดังนี้แล้วถือว่าดีนักคือ
                   ข้างขึ้นตรงกับ ๗ , ๑๐ , ๑๓ ค่ำ
                   ข้างแรมตรงกับ ๔ , ๘ , ๑๐ , ๑๔  ค่ำ
                   ถ้าไม่ตรงตามนี้ไม่นิยมกัน  ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของท่านเทอญ
         
                   ๔.  ในการเลือก วันอันเป็นมงคลสำหรับฤกษ์นั้น  มีหลักการว่าจะต้องเลือกวันที่ไม่ตรงกับวันร้ายเช่นวันจันทร์ดับ  วันสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา (และก่อนหรือหลัง ๗ วันด้วย)  วันอุบาทว์หรือโลกาวินาศน์ประจำปี  วันกาลกิณีของตนเอง  วันที่ ๑๓  หรือวันศุกร์ที่ ๑๓  วันที่ ๗  หรือ    วันอังคารกับวันเสาร์ซึ่งตามปกติห้ามฤกษ์มงคลอยู่แล้ว  ที่จริงยังมีกฎเกณฑ์อีกมาก  เช่น   วันทรทึก   วันมฤตยู   วันอัคนิโรธ   วันทินสูรย์  วันบอก ฯลฯ  ซึ่งยังมีอีกมากมายนักข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะกล่าวไว้ในที่นี้  เพราะเกรงจะฟั่นเฟือ  แต่ถ้าท่านผู้ใดอยากจะรู้ก็ไปหาอ่านในตำราฤกษ์ดูเอาเทอญฯ

๕.     วันกาลกิณีสำหรับตนเองมีดังนี้
เกิดวัน                    หรือบุตรคนที่            (มารดาเดียวกัน)     กาลกิณีคือ
เกิดวันอาทิตย์                                               ²                  วันศุกร์
เกิดวันจันทร์                                                 ²                  วันอาทิตย์
เกิดวันอังคาร                                                ²                  วันจันทร์
เกิดวันพุธ                                                   ²                   วันอังคาร
เกิดวันพฤหัสบดี                                           ²                   วันเสาร์
เกิดวันศุกร์                                                   ²                  วันพุธกลางคืน
เกิดวันเสาร์                                                 ²                   วันพุธ


                   บางคนสงสัยว่าจะถืออะไรเป็นหลักเช่น  เกิดวันอังคาร  มีวันอังคาร  มีวันจันทร์เป็นกาลกิณีแต่เป็นบุตรคนที่สองมีวันอาทิตย์เป็นกาลกิณี ขอตอบว่าให้ถือทั้งวันอาทิตย์และจันทร์เป็นกาลกิณีของคนทั้งสองวัน  บางตำราให้ถืออันดับเพศด้วยเป็นเรื่องยุ่งเหยิงมากที่จริงใช้ได้แต่เห็นว่าจะยุ่งยาก  จึงแนะวิธีง่าย ๆ ให้

                   ๖.  นักพยากรณ์จำนวนมากอยากทราบว่า  ฤกษ์อะไรเหมาะกับกิจการเช่นไร  ขอแนะดังนี้



                   (๑)  ทลิทโทฤกษ์  ใช้  สู่ขอ  ทวงหนี้  เดินตลาด   ขอประกันภัย  ขอประนีประนอม  ขอคืนดี  ซื้อของเงินผ่อน  ตั้งร้านขำขายกาแฟ  การเข้าร่วมหุ้นส่วน   การซื้อของเก่า  ของโบราณ  การโอนกิจการ  เปิดกิจการนายหน้า  การกู้หนี้ยืมสิน  การขอแบ่งมรดก  การออกบวช  กิจการกุศลที่ต้องอาศัยการเรี่ยราย  การรับเหมาตัดตอน  การค้าเครื่องอะไหล่  การหาผู้ค้ำประกัน  ร้านอาหารเล็ก ๆ  การซ่อมบ้าน  การซ่อมรถ  กิจการเหล่านี้  ถ้าใช้ทลิทโทฤกษ์จะเจริญดี  และห้ามใช้ฤกษ์อื่นจะเกิดความวิบัติ


                   (๒)  มหัทโนฤกษ์  เรียกกันว่าฤกษ์เศรษฐี  เป็นฤกษ์ที่ใช้ในกิจการเกี่ยวกับสิ่งอันโอ่อ่าหรูหรา  เช่นงานขึ้นบ้านใหม่หรือ งานทำบุญบ้าน  งานฉลองเหรียญตรา  เปิดธนาคาร  เปิดห้างสรรพสินค้า  งานเปิดร้านขายทอง  งานแซยิด  งานโกนจุก  หรือผู้ที่มีฐานะแต่งงาน ฯลฯ

                   (๓)  โจโรฤกษ์    สำหรับตีข้าศึกปล้นค่าย  ปล้นสะดม  ออกเดินทาง ไปต่างแดน  การสำรวจ  ตรวจค้น   การค้นคว้า  การเผชิญภัย  การท่องเที่ยวออกตระเวณ  เปิดสถาบันวิจัย  เปิดสถาบันค้นค้าปรมาณู  สถาบันเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์  สถาบันจิตศาสตร์

                   (๔)  ภูมิปาโลฤกษ์    เป็นฤกษ์สำหรับการกสิกรรม  การปลูกบ้านการก่อสร้าง  ตามศัพท์แปลว่าผู้รักษาแผ่นดินเหมาะสำหรับกิจการเหมืองแร่  เปิดพิพิธภัณฑ์  ใช้ในงานมงคลทั้งปวง  ไม่เหมาะสำหรับการแต่งงาน  เป็นฤกษ์สำหรับการทูต  การเจรจา  การติดต่อค้าขาย  ฤกษ์สำหรับยานพาหนะบนบก  สถานที่สำหรับเยาวชน

                   (๕)  เทศาตรีฤกษ์  เกี่ยวฤกษ์เกี่ยวกับศิลปการบันเทิง   สถานมหรสพ  โรงน้ำชา  ไนต์คลับ  ภาพยนตร์  การแสดงละคร  โทรทัศน์  บาร์  คาบาเร่ต์  ห้องประชุม  แฟชั่น  ร้านเสริมสวย  สถานอาบอบนวด  การแสดงศิลป  หอศิลป์  สถาบันศิลป์  การสมาคม  งานสโมสรสันนิบาต  ฤกษ์ส่งตัว  โรงแรมโมเตล  สถานตากอากาศริมทะเล
         
                   (๖)  เทวีฤกษ์  เป็นฤกษ์เกี่ยวแก่สตรี  โรงเรียน  สตรี  หอพักหญิง  ร้านเครื่องสำอาง  สมาคมของสตรี

          (๗)  เพ็ชรฆาตฤกษ์  เป็นฤกษ์เกี่ยวกับทหารและตำรวจ  โรงทหาร  ร้านขายอาวุธ  การยกทัพ  การประกาศสงคราม  การต่อสู้  การชกมวย  การแข่งกีฬา  การล่าสัตว์  การเปิดอาคารเกี่ยวกับทหารการเปิดคุก  เปิดโรงฆ่าสัตว์  การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง  การกระทำกิตติยาคม  การสาปแช่งการข่มอาถรรพณ์ศัตรู  การเบิกไพร  การไล่ผี

                   (๘)  ราชาฤกษ์    เปิดรัฐพิธีอันโอ่อ่า  ราชาภิเษก  อภิเษกสมรส  การตั้งหลักเมือง  การเปิดธนาคาร  การเปิดกระทรวง  การเปิดรัฐสภา  เปิดงานราตรีสโมสร  การเซ็นสัญญาระดับประมุข  การแต่งงานที่มีเจ้านายเข้าร่วมพิธีด้วย  การขึ้นคฤหาสน์ใหม่  การเฉลิมฉลองมหกรรมแห่งชาติ

                   (๙)  สมโณฤกษ์   เป็นฤกษ์สงบ  การเกิดอาคารศาสนา  ยกช่อฟ้า  วางลูกนิมิต  เปิดโรงพยาบาล  เปิดศาลา เริ่มงานการกุศล  งานกฐิน  งานเรี่ยรายเพื่อมนุษยธรรม  การพุทธาภิเษก  งานเมตตาบันเทิง  การเปิดพิพิธภัณฑ์  การเปิดสวนสาธารณ   การเปิดสถานคนพิการ  เปิดสำนักวิปัสสนา  การทำสมถภาวนา

                   เท่าที่ได้พรรนาฤกษ์ทั้งเก้าหมวดมาอย่างละเอียดก็เห็นว่าทุกวันนี้ผู้ให้ฤกษ์ยังไม่แตกฉานพอ  มักให้กันอย่างผิดพลาด   บางทีเอาราชาฤกษ์ไปให้เปิดสถานอาบอบนวดหรือไนท์คลับ  ทำให้กิจการเขาวินาศวอดวาย  ขายตัวเสียมามากต่อมาก  ด้วยไม่เข้าใจประเภทของฤกษ์ดีพอ  เรื่องฤกษ์ยามนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด  การให้ฤกษ์ผิดพลาดเป็นผลร้ายรุนแรงมาก  จึงจำเป็นต้องแจกแจงไว้อย่างละเอียดในที่นี้

                   ส่วนการกำหนดฤกษ์ง่าย    แบบชาวบ้านนั้นก็มีกฎเกณฑ์   ดังที่โบราณาจารย์ท่านรจนาไว้  และได้นำมากล่าวไว้แล้วข้างต้น

ยังมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่น่าจะรู้ไว้เป็นข้อห้ามดังนี้


          (๑)  เวลาอันเป็นข้อต่อระหว่างกลางวันและกลางคืน  คือก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและหลังจากพระอาทิตย์ประมาณ  ๑๕  นาที     ไม่ควรประกอบกิจการฤกษ์ใด ๆ ทั้งสิ้น  ด้วยเป็นเวลาอันไร้ผล  กล่าวโดยเหตุผลคือเวลาดังว่า    นี้เมื่อวางลัคนาแล้วจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากเกินไป  เหมือนลัคนาถูกคราสนั่นเอง

          (๒)  ฤกษ์ยกเสาเอกมักนิยมก่อนเที่ยง  จะทำให้เกิดความมั่นคง  ถึงแก่มีเรื่องขำ ๆ เล่าว่าหลังจากเที่ยงไปแล้วเทวดาไปเผ้าพระอิศวรกันหมด  ไม่มีใครคุ้มครองฤกษ์
          ที่จริงท่านถือเคล็ดว่าเวลาก่อนเที่ยง  เป็นเวลาอันต้องโฉลกเป็นระยะเริ่มต้นของวันจะได้จำเริญ  ต่อไปภายหน้าเหมือนชีวิตในวัยต้นนั้น  ส่วนบ่ายไปแล้วก็เหมือนชีวิตในวัยกลางคนมีแต่จะล่วงโรยไปนั่นเอง

                    (๓)  คนที่เกิดกลางคืนจะเจรจาใด ๆ ถ้ากระทำในที่ร่มหรือที่ลี้ลับหน่อย  จะเกิดผลดีกว่าทำในที่เปิดเผยหรือกลางแจ้ง  ส่วนคนเกิดกลางวันก็ตรงกันข้างกัน

          (๔)  บางคนมีความสนใจในเรื่องทิศ อยากทราบว่าวันใดทิศใดจึงจะให้คุณ  มีกฎเกณฑ์ดังนี้

วันอาทิตย์      ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นเดช           ทิศใต้เป็นศรี  
วันจันทร์        ทิศใต้เป็นเดช                              ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นศรี
วันอังคาร       ทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นเดช            ทิศตะวันตกเป็นศรี    
วันพุธ            ทิศตะวันตกเป็นเดช                      ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นศรี
วันพฤหัสบดี    ทิศเหนือเป็นเดช                          ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นศรี
วันศุกร์          ทิศตะวันออกเป็นเดช                     ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นศรี
วันเสาร์         ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นเดช          ทิศเหนือเป็นศรี

          (๕)  ผู้ที่สนใจ  เรื่องทิศผีหลวง  การทำการในเวลาใดวันใดอย่าได้หันไปสู่ทิศผีหลวงจะเกิดโทษ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเล่นการพนัน  ถ้าหันไปสู่ทิศนั้นมีหวังจะเสียมากกว่า
          ทิศผีหลวงมีดังนี้

วันอาทิตย์                ผีหลวงอยู่                ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
วันจันทร์                                              ทิศตะวันออก
วันอังคาร                                            ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
วันพุธ                                                 ทิศเหนือ       
วันพฤหัสบดี                                         ทิศใต้           
วันศุกร์                                                ทิศตะวันตก             
วันเสาร์                                               ทิศตะวันออกเฉียงใต้

                   ส่วนการดูในวันนั้น ๆ ต้องดูดาวมฤตยูจร  มีแผนผังดังนี้  โดยเทียงกับทิศเทวดาจร  ซึ่งถ้าหันหน้าสู่ทิศเทวดาจรจะให้คุณ  ส่วนทิศมฤตยูจร จะเกิดโทษ
                  
                             เทวดาจรอยู่ทิศ                          มฤตยูจรอยู่ทิศ
วันอาทิตย์                ตะวันออกเฉียงใต้                         ตะวันออกเฉียงเหนือ  
วันจันทร์                  ตะวันตก                                     ตะวันออก
วันอังคาร                 ตะวันออกเฉียงเหนือ                     ตะวันตกเฉียงใต้       
วันพุธ                     ใต้                                             เหนือ
วันพฤหัสบดี             ตะวันออกเฉียงเหนือ                      ตะวันออกเฉียงใต้     
วันศุกร์                    ตะวันออก                                   ตะวันตก
วันเสาร์                   ตะวันตกเฉียงใต้                           ตะวันออกเฉียงเหนือ

                   ในวันนั้น ๆ ยังมีเวลาที่ราหูจรอีก  การหันหน้าสู่ทิศราหูจร  ท่านว่าจะเกิดโทษ  จึงจำเป็นจะต้องรู้จักทิศที่ราหูจรตามเวลาดังนี้  จะได้หลีกเลี่ยงเสีย

เวลา ๖   น.         ผีหลวงอยู่ทิศ            ตะวันออก
เวลา ๙ ๑๒ น.                                   ตะวันตกเฉียงเหนือ
เวลา ๑๒ ๑๔ น.                                 เหนือ
เวลา ๑๕ ๑๘ น.                                 ตะวันออกเฉียงใต้
เวลา ๑๘ ๒๑ น.                                 ตะวันตก
เวลา ๒๑ ๒๔ น.                                 ตะวันออกเฉียงเหนือ
เวลา ๒๔ น.                                   ใต้
เวลา ๓ ๖ น.                                      ตะวันตกเฉียงเหนือ


       การใช้สีประจำวัน มีกฎเกณฑ์ดังนี้

วันอาทิตย์                ใช้สี              แดง    (สีแดงหนักไปทางส้ม)         
วันจันทร์                                    ขาว    หรือสีนวล สีงาช้าง สีมุกดา
วันอังคาร                                   ชมพู   หรือสีม่วงแดง สีดอกชมพู่
วันพุธ                                       เขียว   สีเขียวสด ถ้าพุธกลางคืนใช้สีเขียวอ่อน
วันพฤหัสบดี                               เหลือง หรือสีน้ำตาล สีน้ำผึ้ง สีตองอ่อน
วันศุกร์                                      น้ำเงิน สีฟ้า สีกรมท่า สีเขียวน้ำทะเล
วันเสาร์                                     ดำ สีหม่น สีม่วง สีเทา

                   การใช้สีนั้น ไม่จำเป็น จะต้องเป็นสีนั้นโดยตรง อาจจะมีลวดลายหลายสีก็ได้  ให้ดูรวม ๆ ว่าค่อนข้างไปทางสีอะไร  วิธีดูให้ดูไกล ๆ หรือหรี่ตาดูว่า ว่าดูรวม ๆ แล้วเป็นสีอะไร  คือให้สีเหล่านั้นผสมกันเอง  เช่น  ลายผสมกันระหว่างสีม่วงกับสีเขียว  จะเป็นสีน้ำเงิน  สีม่วงกับสีส้ม  สีม่วงกับสีส้มจะเกิดผลเป็นสีแดง  ตามทฤษฎีสีสเปคตรัม  ผู้จะใส่เสื้อลายหลายสีจะต้องมีความรู้ในการพิจารณาสีอันผสมกันรวม ๆ ให้ชำนาญด้วย



                     เรื่องเกี่ยวกับวันมีความจำเป็นแค่ไหน ในการกำหนดเกณฑ์ยาม กรณีย์นี้ขอตอบว่าเท่าที่สังเกตมารู้สึกว่าจะเป็นมากสังเกตุจากบุคคลเกิด  ในวันแข็ง  เช่น  วันอังคารหรือเสาร์ มักแข็ง ๆ  คนโบราณคงจะสังเกตมามากกว่าเป็นเช่นนั้นจึงได้กล่าวไว้ในวรรณคดีว่า  ทั้งขุนแผนและหนุมานซึ่งเป็นนักรบเอกต่างก็เกิดวันอังคารทั้งคู่  หรือนางนพมาศพระสนมเอกของกษัตริย์สุโขทัย  เกิดวันจันทร์ซึ่งเป็นวันอ่อนโยน  นี้เป็นความเชื่อมาแต่สมัยโบราณ  ซึ่งเราน่าจะสังวรไว้บ้าง  ดังนี้ฤกษ์ใดที่จำเป็นจะต้องอาศัยความเข้มแข็ง  จึงควรใช้วันแข็งจะได้ถูกเรื่องกัน  อย่างเช่น  ฤกษ์เปิดอาคารทหารควรจะเป็นวันอังคารหรือวันเสาร์จึงจะเหมาะ   แม้วันอังคารและวันเสาร์สองวันนี้ท่านห้ามไว้ตามกฏการให้ฤกษ์  แต่ก็มีข้อยกเว้นใน  กรณีย์ ต้องการให้เกิดความเหมาะสม กับงานการแต่งงานวันพุธท่านห้ามแถมวันพฤหัสบดีอันเป็นวันครูท่านก็ห้ามเสียอีก    ส่วนวันอังคารและวันเสาร์ก็ห้ามตายตัวอยู่แล้วตามกฎการให้ฤกษ์ จึงมีวันที่เหลืออยู่อีกสามวันคือ   วันอาทิตย์  จันทร์  และ ศุกร์  ซึ่งจะต้องเลือกเอาตามอัธยาศัยสำหรับคู่สมรสว่าเกิดวันอะไรจึงจะเหมาะ

                   วันศุกร์บางคนก็ไม่นิยมปลูกบ้าน  เกรงว่าไฟจะไหม้บ้านด้วยศุกร์ออกสำเนียงตรงกับสุก  ข้อนี้ก็ต้องแล้วแต่การยึดถือของแต่ละบุคคลเป็นราย    ไป  ถ้าเชื่อแล้วก็อย่าไปทำ   ถ้าไม่เชื่อคงไม่เป็นไรด้วย  อุปาทานไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง  การยึดในวันก็เช่นกันมีเหตุมาจากอุปาทานก่อน  เมื่อเชื่อมันถือมั่นก็เป็นจริงจังไปอย่างน่าอัศจรรย์   อย่างกรณีย์อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาสองท่านคือ  ท่านประธานาธิบดีจอห์น เอ เคนเนดี้  และลิงคอน  สองท่านนี้มีความอาถรรพณ์คล้ายกัน  คือถูกยิงตายในวันศุกร์  ที่ศีรษะ  มีภรรยานั่งอยู่ข้าง ๆ   และยังมีอะไรเหมือนกันอีกหลายอย่าง  ดังนี้เป็นต้น  ชาวยุโรปหรือที่ถูกชาวคริสเตียนถือกันว่าวันศุกร์ที่  ๑๓  เป็นวันซวยเขาจะไม่เริ่มใด ๆ เลย  และน่าประหลาดเพราะ  วันอันอาถรรพณ์นี้  ไม่ว่าชาติใดศาสนาใด  ถ้าบุคคลประกอบกิจกรรมในวันนั้น  มักเกิดผลร้ายในวันนั้นเสมอ  รวมความไปถึงผู้เกิดในวันนั้นก็มักมีเหตุไม่ดีในชีวิตเสมอ

                     การเลือกที่อยู่ให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ     จัดว่าเป็นศาสตร์สูงสุดของวิชาภูมิพยากรณ์วิทยา   จะแนะไว้เป็นสังเขปเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสาธุชน  ผู้จัดให้เกิดความจำเริญต่อไปในอนาคต

                   (๑)   บุคคลที่  มีชื่ออันมีความหมายอะไรต้องให้กลมกลืนกับชื่อของสถานที่ด้วยจึงจะเจริญดี  ดังเช่น  ชื่อ   มัสยา   มัจฉา หรือกุ้ง เต่า  สันตวา  อุบล ฯลฯ  ถ้าอยู่ในสถานที่ชื่อเป็นน้ำหรือใกล้น้ำจึงจะเจริญ     เช่นชื่อซอยวารี   ตำบลคลองสาน  ซอยน้ำทิพย์  หรือปทุมคงคาเป็นต้น 
                   หรือบุคคลที่มีดาวอาทิตย์นิจเป็นประ     อยู่ในสถานที่อันมีลักษณะน้ำจึงจะเจริญ   ถ้าบุคคลที่มีดาวอาทิตย์อาจเป็นอุจหรือเป็นเกษตร  อยู่ในสถานที่ดังนี้ไม่ดู  ไม่เจริญ

                   (๒)  บุคคลที่มีชื่อเป็นธาตุุุุไฟ  เช่นชื่อ  ทินกร  ทิวา  สุรีย์  แสงสูรย์  เดโช  สุริยน  ฯลฯ   ไม่ควรไปอยู่ในที่ธาตุุุุน้ำ   เช่นใกล้น้ำ  หรือใกล้  กรมทหารเรือ  หรือชื่อมีความหมายเป็นน้ำดังกล่าวแล้วข้างต้น
                   หรือบุคคลชื่อธาตุุุุดิน  ไม่ควรไปอยู่ในที่ธาตุุุุุลมดังเช่น    บุคคลชื่อ  บรรพต  สิงขร  หรือบุคคลผู้มีลัคนาอยู่ราศีธาตุุุุุดิน  ไม่ควรไปอยู่ในสถานที่ลมแรงหรือชื่อหมายถึงลม  เช่น  ชื่อ  ซอยสายลม  หรือตำบลวิเวกพายุพัด

                   (๓)   บุคคลผู้มีลัคนาอยู่ราศีธาตุุุุน้ำ เช่นราศีกรกฎ   พิจิก  มีน  มีน  ไม่ควรอยู่ในสถานที่ธาตุุุุไฟ  บุคคลลัคนาอยู่ราศีธาตุุุุดิน  เช่น ราศีมังกร   พฤษภ  กันย์  ไม่ควรไปอยู่ในสถานที่ธาตุุุุลม  บุคคลผู้มีลัคนาอยู่ราศีธาตุุุุลมเช่น ราศีตุลย์  กุมภ์  เมถุน  ไม่ควรไปอยู่ในสถานที่ธาตุุุุดิน  เช่น  ใกล้ภูเขา  หรือชื่อเป็นภูเขา

                   ในการให้ฤกษ์ให้ยาม    จะต้องพิจารณาความจริงข้อนี้เป็นหลักเสมอ  เช่น  ผู้ไปเปิดงานชื่อเกี่ยวกับน้ำคือ  วาร  นที  สายชล  สายสินธุ์  ชลธิรา  ธารา  ฯลฯ  ไม่ควรเชิญให้ไปเปิดร้านขายเครื่องดับเพลิง   ร้านขายปืน  ร้านขายแก๊สเชื้อเพลิง

                   ๙.    เรามักจะนิยมเชิญพระเปิดร้านต่าง     ที่จริงสถานที่บางแห่งเช่น  ร้านขายเสื้อผ้า  เครื่องสำอาง  ร้านเสริมสวย  บาร์  ไนต์คลับ   สถานมหรสพ   เจิมกล้องถ่ายภาพยนตร์   เปิดสถานถ่ายภาพยนตร์  ฯลฯ   เหล่านี้เป็นการทำไม่ถูกเรื่องที่เห็นมามักจะหมดตัวหรือล้มละลายกันตาม ๆ  กัน  ในคัมภีร์นาฎยศาสตร์ของอินเดีย  ในการเปิดโรงละคร เขาถึงแก่การขับไล่  นักบวชและคนพิการไปให้พ้นมณฑลพิธีนั้น   ด้วยถือว่าเป็นกาลกิณีแก่งาน   แต่ของเราโหรไม่เข้าใจกลับแนะนำให้เชิญมาเปิดจึงได้เกิดความวิบัติดังกล่าวแล้ว

          ๑๐.  บุคคลที่เป็นหมัน  หรือชีวิตสมรสไม่ราบรื่น  ไม่ควรเชิญไปสวมมงคล หรือปูที่นอนในงานมงคลสมรส

                   ๑๑.  กิจการเกี่ยวกับสตรีไม่ควรเอาพระ    หรือเพศชายไปเปิด   จะนำความหายนะมาสู่ในภายหลัง
                   ความจริงเรื่องการใช้พระทำการเปิดกิจการต่าง ๆ  นั้น  จำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก  เนื่องด้วยสงฆ์เป็นพรหมจรรย์เพศ   ไม่ควรเอาเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจการของมนุษย์   เช่น  เรื่องของการค้าและโลกีย์ด้วย   เป็นการขัดกับฤกษ์  แทนที่จะนำความเจริญให้กับความหายนะมาสู่
                   สิ่งที่ควรใช้สงฆ์มาเปิด   ควรเป็นกิจการดังนี้ คือ   เปิดโรงเรียน   โรงพยาบาล  สถานอนามัย   และกิจการอันเป็นสาธารณเท่านั้น  นักโหราศาสตร์สมัยนี้ไม่เข้าใจ  ไปเชิญพระภิกษุผู้สละโลกีย์   มาเปิดกิจการค้ากันให้เปรอะไปหมด   แทนเป็นคุณก็กลับเป็นโทษ

                   ๑๒.    ที่จริงในสมัยโบราณท่านถือความเคร่งกันมาก   ในตัวบุคคลที่จะทำการเปิดกิจการต่าง     อย่างเช่นการปูที่นอนให้  คู่บ่าวสาว   ท่านต้องพิจารณาเลือกเอา     คู่ผัวเมียที่มีประวัติรักใคร่และอยู่กันยืนนานโดยไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันเลย   มาทำการนั้น   ในการปล่อยเรือจากอู่ลงน้ำตามธรรมเนียมของฝรั่งเขาใช้  สตรีสูงศักดิ์เป็นผู้เอาขวดเหล้าแชมเปญตีหัวเรือให้แตก  น้ำเหล้าอาบเรือเป็นการเซ่นแม่ย่านางแล้วจึงปล่อยเรือลงน้ำ    การที่ต้องใช้สตรีก็เพราะเขาคำนึงว่า  เรื่องของเรือและน้ำเป็นเพศหญิง คือธาตุุุุน้ำ  จึงต้องใช้สตรีเพศอันเป็นธาตุุุน้ำเหมือนกันทำให้ต้องโฉลกทุกอย่าง
                   ดังนี้  การวินิจฉัยเพศ ของฤกษ์กับบุคคลผู้ทำการเปิด  เพื่อให้สัมพันธ์กันจึงเป็นศาสตร์อันสำคัญมาก  จะขอกล่าวถึงลักษณะเพศของฤกษ์ดังนี้

                   (๑)  กิจการใดที่เกี่ยวกับธาตุุุุน้ำและลมเป็นเพศหญิง  เช่น  ร้านค้าน้ำอัดลม   เครื่องดื่ม   ร้านค้ายาง  ปั๊มน้ำมัน   กิจการเกี่ยวกับเรือ  เรือบิน  การท่องเที่ยว  และกิจการสตรีทุกชนิด  ควรใช้สตรีเป็นผู้เปิด

                   (๒)  กิจการเพศชายคือธาตุุุุไฟและดิน   ดังเช่น  โรงงาอุตสาหกรรมหนัก   โรงถลุงแร่    ร้านค้าอาวุธปืน  ร้านค้าเครื่องเหล็ก  ร้านขายถ่าย  โรงงานถ่านไฟฉาย  และกิจการเกี่ยวกับเพศชายทุกชนิด  ควรใช้เพศชายผู้มียศศักดิ์เป็นผู้เปิด

                   ๑๓.   ชื่อของบุคคลผู้จะทำการเปิด  ก็มีความสำคัญมาก   ห้ามเชิญบุคคลชื่อเหล่านี้มาทำการเปิดกิจการค้าเป็นอันขาด  เช่น  ตัน  น้อย  นิด  คนที่มีชื่อว่าประนำหน้า    (เพราะ    ประ  แปลว่าแตกขาด)   จะทำให้การค้าไม่เจริญ
                  
                   ร้านขายน้ำมันไม่ควรเชิญคนที่ชื่อ  เดโช  อัคนี  ฯลฯ   อันมีความหมายว่าไฟมาเปิด  จะทำให้เกิดไฟไหม้ในภายหลัง
                   ร้านขายปืนอันเป็นธาตุุุุไฟ  ไม่ควรใช้บุคคลชื่อมีความหมายเป็นน้ำมาเปิดจะไม่เจริญ  ด้วยชื่อไม่อุปการะกัน

                   ร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์  ขายพระพุทธรูป ไม่ควรทำพิธีเปิดโดยสตรีหรือมีพิธีเลี้ยงด้วยสุรา   มิฉะนั้นจะไม่เจริญ  ควรให้สงฆ์มาทำพิธีจะดีที่สุด

                   ร้านขายของชำไม่ควรมีพิธีเปิดใด ๆ  ทั้งสิ้น

                   ร้านขายทอง  ควรจะใช้บุคคลสูงอายุที่เป็นคหบดี ฐานะร่ำรวยมาเปิดจึงจะต้องโฉลก  ห้ามเชิญสงฆ์มาเปิดอย่างเด็ดขาด

                   ร้านขายยาควรเชิญแพทย์มาเปิดจึงจะให้คุณ

                   ๑๔.  การทำบุญวันเกิด  หรือจัดงานฉลองวันเกิด   ถ้าบุคคลใดมีฐานะปานกลางหรือไม่มีชื่อเสียง   อย่าได้จัดให้ใหญ่โตหรูหรา   ท่านว่าเป็นอัปรีย์จะทำให้เศร้าหมองและอายุสั้น  ตามตำราจีนเมื่ออายุครบ  ๖๐  จะจัดงานแซยิด  ควรดูฐานะตนเอง  ท่านห้ามจัดงานฉลองอย่างเด็ดขาด  จะบั่นทอนอายุของตนเองลง   เรียกว่าวาสนาไม่ถึงอย่าทำจะเกิดโทษ

                   เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก  การจะทำอะไร  ท่านให้ดูฐานะของตนเอง  เช่นคนโบราณ ท่านกล่าวไว้ว่าจะปลูกเรืองต้องดูฐานะตนเอง    บางคนปลูกเรือนใหญ่โตเป็นคฤหาสน์เกินฐานะ   เห็นมามากว่ามักเกิดความวิบัติ  ต่าง ๆ  นา ๆ  พระยาบางคนในอดีตปลูกบ้านหรูหราอย่างกับวัง  ปรากฎว่าต่อมาต้องประสบเคราะห์กรรมเดือดร้อนบ้านถูกริบต้องติดคุก

                   ๑๕.    บุคคลที่มีดาววินาศน์กุมลัคนา  ห้ามปลูกบ้านให้เด่นหรือยู่ในที่เปิดเผย   จะฉิบหาย  ควรจะเข้าไปอยู่ในตรอกหรือในที่ลี้ลับจึงจะให้คุณ
                   (รวมถึงผู้มีดาวตนุลัคน์กุมภ์ดาววินาศน์ด้วย)

                   ถ้าจำเป็น จะต้องอยู่ในที่อันเด่น  เช่น  ริมถนนใหญ่ก็ควรปลูกต้นไม้ใหญ่เป็นแนวบังหน้าบ้านเสีย  จึงจะไม่มีโทษ

                   ๑๖.   สีดำ  สีม่วงคราม  สองสีนี้เป็นสีแห่งความทุกข์โศก  ไม่ควรใช้ทาบ้านหรือตกแต่งบ้าน  จะเกิดทุกข์

                   ๑๗.     ธาตุุุุของสีมีดังนี้
ธาตุุุุไฟ  คือ  สี   แสด  ส้ม  เหลือง
ธาตุุุุน้ำ  คือ  สี   ขาว  ชมพู  แดง
ธาตุุุุดิน  คือ  สี   ดำ เขียวอ่อน  เขียวแก่
ธาตุุุุลม  คือ  สี   น้ำเงิน  ม่วงคราม  ม่วง
บุคคลธาตุุุุใด  อย่าได้ใช้สีอันเป็นปรปักษ์แก่ธาตุุุุของตน
(ปรปักษ์ธาตุุุุก็คือ น้ำกับไฟ  ดินกับลม)
ผู้มีลัคนาราศีธาตุุุุไฟ  คือ  ราศี        เมษ    สิงห์    ธนู
²     ธาตุุุุน้ำ      ²    ²          กรกฎ   พิจิก   มีน
²     ธาตุุุุดิน      ²    ²                   มังกร   พฤษภ  กันต์
²     ธาตุุุุลม      ²    ²                   ตุลย์    กุมภ์     เมถุน

                   ๑๘.   คำโบราณกล่าวไว้ว่า   วันพุธห้ามตัดวันพฤหัสห้ามถอน   ทั้งนี้ถือว่าวันพุธเป็นวันแสลงถึงความเจริญเติบโต  หมายถึงวัยรุ่น  พฤกษชาติ  เป็นวันของวัยอันกำลังจะงอกงามยึ่งขึ้นไป  จึงถือกันว่า  ไม่ควรตัดผม หรือดายหญ้า  ตัดต้นไม้ในวันพุธ

                   ส่วนวันพฤหัสบดี   ดาวดวงนี้เป็นดาวอันให้คุณทางความเจริญ  ความรุ่งเรือง   การเพิ่มพูนทางทรัพย์สินเงินทอง  ความมั่นคง เมื่อมีคุณถึงปานนี้  จึงไม่ควรถอนอะไรให้สิ้นเชื้อ  เป็นการไม่ถูกกับความยิ่งใหญ่ของวัน  ไม่ควรถอนหญ้า  ถอนผม  ถอนเกล้า  ถอนรื้อสิ่งใดทั้งสิ้น

๑๘.     วันอะไรเป็นธาตุุุุอะไร  มีดังนี้

                   วัน      อาทิตย์         ธาตุุุุ    ไฟ
²        จันทร์            ²        น้ำ
²        อังคาร           ²        น้ำ
²        พุธ                ²        ดิน
²        พฤหัสบดี       ²        ไฟ
²        ศุกร์              ²        ลม
²        เสาร์             ²        ดิน
          (ธาตุุุุเหล่านี้  วางกฎเกณฑ์ตามหลักของโหราศาสตร์แผนใหม่   ตามทฤษฎีเกษตรใหม่  ซึ่งมีความถูกต้องยิ่งกว่าของเก่า)

                   ในการเลือกวันให้เหมาะกับธาตุุุุของฤกษ์  จึงมีความสำคัญมาก  เช่น  ฤกษ์เกี่ยวกับน้ำ  คือ  ร้านขายเครื่องดื่ม  โรงน้ำแข็ง  การออกเรือ  ฯลฯ  ถ้าใช้วันธาตุุุุน้ำทำให้กิจการเจริญมากยิ่งขึ้น  หากใช้วันธาตุุุไฟต่อไปจะเกิดการขัดข้องต่าง ๆ นา ๆ ดังนี้เป็นต้น

                   กิจการใดที่เกี่ยวกับไฟหากใช้ธาตุุุน้ำ  จักไม่จำเริญ  และเดือดร้อนภายหลัง   กิจการเกี่ยวกับธาตุุุดินไปใช้ในวันธาตุุลม  ก็จักเกิดการขัดข้องเช่นเดียวกัน

                   การวางลัคนาฤกษ์มีกฎเกณฑ์  ดังนี้

          (๑)  กฎเกณฑ์แรก  ท่านห้ามอยู่แล้ว  อย่าให้ลัคนาดวงฤกษ์เป็นอริมรณะและวินาศนะ  กับดวงฤกษ์  ของเจ้าการ  คือผู้ประกอบพิธี  ถ้าเป็นฤกษ์มงคลสมรส  ซึ่งจำต้องดู  ทั้งดวงบ่าวสาวประกอบก็จะต้องอย่าให้ไปอยู่ในตำแหน่ง เป็น ๖ , ๘ และ ๑๒  แก่ลัคนาทั้งสองดวงดังกล่าว
          แต่ก็นั่นแหละกฎเกณฑ์นี้ไม่น่าจะเคร่งครัดให้มากนัก  ด้วยในความจริง  เราคงจะเห็นว่า  มีคู่ผัวตัวเมียหลายคู่  ต่างก็มีลัคนาเป็นอริ  มรณะ  และวินาศต่อกัน  ก็ยังอยู่กันยืดยาว  ที่เป็นเช่นนั้นก็ด้วยในดวงชาตาของคู่เหล่านั้น  ล้วนมีสมพงศ์  ดาว  เช่น  อาทิตย์  ชายสัมพันธ์  กับ  จันทร์ของหญิง   หรือ ดาวตนุลัคน์ของหญิง  หรือมีคาวคู่มิตรอยู่ในราศีเดียวกัน  เป็นต้น
                   ดังนี้ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ  ก็น่าจะพิจารณาถึงดาวตนุลัคน์  (คือเจ้าเรือนลัคนา)  ประกอบด้วย  คือแทนที่จะเอาลัคนาดวงฤกษ์สัมพันธ์กับลัคนาของเจ้าการ  อาจจะเอาไปสัมพันธ์กับตนุลัคน์ของเจ้าการก็ได้

                   ๒.   การวางลัคนาดวงฤกษ์   ก็เหมือนกับการดูดวงชาตาของบุคคลทั่ว ๆ ไปนั้นเอง  ดังนี้กฎเกณฑ์การวางลัคนา  จึงควรระวังอย่าให้ดาวร้ายคือบาปเคราะห์เบียนลัคนา  ด้วยจะทำให้ฤกษ์นั้น  เลื่อมสมรรถภาพไป   จะมากน้อยแค่ไหน  ก็แล้วแต่ว่าจะถูกเบียนมากน้อยแค่ไหน ดังนี้

                   (ก)  อย่าได้บาปเคราะห์ตั้งอยู่ในมุม   กากะบาดกับลัคนาคือเป็น      เป็น     เป็น    และเป็น  ๑๐  แก่ลัคนา
                   ถ้าบาปเคราะห์  ตั้งอยู่   ครบมุมจตุโกณต่อลัคนาอันเป็นมุมกากะบาดเช่นนี้  ถือว่าเป็นการเบียนร้ายแรงที่สุด
                   แม้ไม่ครบมุม ๔  มุม  คือ  เพียงเป็น     หรือเป็น    และเป็น  ๑๐    อย่างเดียว  หรือสองอย่าง  ก็ยังร้ายอยู่
         
                   (ข)  ดังได้กล่าวแล้วว่ามุมจตุโกณ  ถ้าบาปเคราะห์ตั้งอยู่เป็นจุดเบียนมาก  ยิ่งตั้งอยู่ในภพที่  ๑๐  คือภพกัมมะอันเป็นภพที่   ดาวพระเคราะห์ลอยเหนือศีรษะขณะเวลาฤกษ์  ขอแนะให้หลีกเลี่ยงเสีย   ขืนปล่อยฤกษ์แบบนี้ออกไปก็เท่ากับให้ร้ายกับผู้นำฤกษ์นั้นไปใช้นั่นเอง

                   (ค)  อย่าให้บาปเคราะห์  โยคหน้า  หรือโยคหลัง  ลัคนาดวงฤกษ์  ยิ่งโยคครบทั้งสองจุดด้วยแล้วก็ยิ่งร้ายหนัก

          (ง)  อย่าให้บาปเคราะห์  ตั้งอยู่ในมุม  ตรีโกณกับลัคนาดวงฤกษ์  ยิ่งครบสามมุม  คือมีบาปเคราะห์กุมลัคนาอยู่ด้วยแล้วจัดว่าเป็นฤกษ์ร้าย

          ๓.  ดาว  อริ  มรณะ  และวินาศนะ  ของ  ดวงฤกษ์  ไม่ควรให้มากุมลัคนาดวงฤกษ์  หรือ  อยู่ในภพที่สิบ (กัมมะ)  ของดวงฤกษ์ด้วยจะทำให้เกิดผลร้าย   ดังนี้

(ก)     ดาวอริ  จะทำให้เกิดอุปสรรค
(ข)     ดาวมรณะ  จะทำให้เจ็บไข้  พลัดพรากจากกัน
(ค)     ดาววินาศนะ  ไม่ยั่งยืน

          ๔.   อย่าให้  ลัคนา   ดวงฤกษ์  ไปตั้งอยู่ในราศีเดียวกับที่ดาวมรณะของเจ้าการเป็นอันขาด  จะทำให้ฤกษ์ไร้ผล

                   ๕.  มุมร้ายแรง   นอกจาก   ที่พรรณาในข้อสองแล้วนั้น    ยังมีอีกสองมุม  คือ
                   (ก)  บาปเคราะห์  กุมลัคนาฤกษ์โดยมีบาปเคราะห์ไปตั้งอยู่ในภพที่    และ    กับลัคนาของดวงฤกษ์   เรียกว่ามุมปลายหอกให้โทษร้ายแรงยิ่งนัก  ควรเลี่ยง

                   (ข)  บาปเคราะห์  อยู่ขนาบหน้า  หลัง  ลัคนาฤกษ์  คือเป็น    และเป็น  ๑๒  เรียกว่าถูกบาปเคราะห์บีบ  เป็นการเข้าจุดอับ  ทำการใด ๆ ไม่เป็นผล
                  
                   (ค)  บาปเคราะห์  ขนาบหน้า  หลังลัคนา  แล้วยังมีบาปเคราะห์เล็งอีกดวงหนึ่ง  ร้ายนัก  อย่าให้ฤกษ์เช่นนี้   เดือดร้อนเหลือประมาณ

                   ๖.   ขณะที่ดาวบาปเคราะห์กำลังโคจร  ติดต่อกัน  ๓,๔,๕  ราศี  เช่นนี้   อย่าได้วางลัคนาดวงฤกษ์ลงไปในขบวนดาวร้าย  เช่นนี้  เป็นอันขาดด้วยเป็นจุดอันตราย  จะเกิดผลร้ายในอนาคต

                   ๗.  ตนุลัคน์  ของดวงฤกษ์  มีความสำคัญมาก  ถ้าจะวางลัคนาลงในราศีใด  ต้องตรวจดูเสียก่อนว่า  ดาวเกษตร  หรือ  เจ้าของราศีนั้น  ไปตั้งอยู่ในจุดอันตรายหรือเปล่า   เช่น
                   (ก)  ถูกบาปเคราะห์   บีบหน้าหลัง
                   (ข)  ถูกบาปเคราะห์   กุม  หรือเล็ง
(ค)  ถูกบาปเคราะห์   จตุโกณ  หรือตรีโกณ  หรือ โยค  ครบทุกมุม
(ง)      กุม  ดาว  อริ  หรือ มรณะ  หรือ วินาศนะ
ถ้าเป็นเช่นนี้  แสดงว่าดวงฤกษ์ของท่าน  เป็นดวงให้โทษควรหลีกเลี่ยง
                   (กฎเกณฑ์นี้    ใช้กับดาวเกษตรใหม่โดยเฉพาะ เกษตรใหม่คือ  อาทิตย์อยู่สิงห์,  พุธกันย์,   ศุกร์ตุลย์,  อังคารพิจิก,  พฤหัสบดีธนุ,  เสาร์มังกร,  มฤตยูกุมภ์,  เนปจูนมีน,  พลูโตเมษ,  ราหูพฤษภ  และเกตุเมถุน)

          ๘.  ต้องดูว่าฤกษ์  เป็นธาตุุอะไร  ก็จะต้องวางลัคนาให้ถูกกับราศีธาตุุนั้น  เช่นฤกษ์เปิดร้านขายเครื่องก่อสร้าง   อันเป็นธาตุุดินก็วางลัคนาราศีธาตุุดินจะเหมาะสมกันมาก   หากไปวางลัคนาในราศีธาตุุน้ำจะทำให้เกิดการเสียหายได้
                   ฤกษ์เปิดร้านขายเครื่องสำอางค์   อันเป็นธาตุุลม  ก็ต้องวางลัคนาในราศีธาตุุลม  จึงจะเหมาะ
                   ร้านขายน้ำมันเบนซิน  อย่าไปวางลัคนาราศีธาตุุไฟ  ดังนี้เป็นต้น

                   ๙.   ดาวเจ้าการของฤกษ์มีความสำคัญมาก  จะขอ  พรรณาเป็นสังเขป  ดังนี้
                   ดาวอาทิตย์  หมายถึง  ความมั่นคง  จะปลูกบ้าน  แต่งงาน  เปิดห้าง  ธนาคาร  วางหลักเมือง  ยกเสาเอก  ฯลฯ   จะต้องประคองดาวอาทิตย์ให้เด่น  อย่าให้ไปอยู่ในภพทุสถานะแก่ลัคนาดวงฤกษ์เป็นอันขาด

                   ถ้าขณะนั้น  ดาวอาทิตย์กำลังโคจรอยู่ในกลุ่มดาวบาปเคราะห์หรือกำลังโคจร  เป็นประ  เป็นนิจ  ก็ควรรอให้ดาวอาทิตย์เดินดีเสียก่อนจึงให้ฤกษ์จะเป็นการถูกต้อง
                   ดาวจันทร์   หมายถึง   เสน่ห์  ความนิยม  สตรีเพศ  เมตตา  มหานิยม  การวางฤกษ์ร้านค้าเครื่องสำอางค์  ร้านตัดเสือสตรี  การสมาคม  ฯลฯ   จะต้องประคองดาวจันทร์ให้เด่น  อย่าให้ไปอยู่ในจุดด้อยหรือจุดอับ
                   ดาวศุกร์  หมายถึง   ความรัก   การแต่งงาน  แสดงแฟชั่น  แสดงภาพยนตร์  ทีวี   และแสดงงานศิลปกรรม  ดวงฤกษ์สำหรับการต่าง ๆ   ดังกล่าวมาแล้วนั้น   จะต้องประคองดาวศุกร์ให้เด่น   และมีความสำคัญในดวงฤกษ์   ห้ามวางไว้ในภพทุสถานะ  เป็น  ๖,  ๘,  ๑๒  แก่ดวงฤกษ์)
                   ดาวมฤตยู  หมายถึง การเดินทาง  การเสี่ยงโชค  การปฏิวัติรัฐประหาร  การค้นคว้า  การออกสำรวจ  ยานพาหะนะ  ถ้าให้ฤกษ์เกี่ยวกับกิจการชนิดนี้จะต้องเชิดชูดาวมฤตยูไว้  ในที่อันเด่น  ยิ่งดีเด่นเท่าไร  (หมายถึง  คอยให้มีดาวศุภเคราะห์  สัมพันธ์  ถึงมาก ๆ)  ก็จะยิ่งทำให้กิจการนั้น ๆ ประสบความสำเร็จ  ความมั่นคงยิ่งขึ้น
                   ดาวราหู  หมายถึง  ของมัวเมา  ผิดกฏหมาย  ของหนีภาษี  เป็นเจ้าการสำหรับการนี้  ควรให้มีความสัมพันธ์  กับดาวตนุลัคน์ของดวงฤกษ์ไว้  จึงจะดี
                   แต่ก็ควรระวังด้วยราหูเป็นบาปเคราะห์  การจะตั้งราหูไว้ในมุมอันเบียนลัคนาก็จะเกิดโทษด้วย  (ดูกฎเกณฑ์ข้อ  ๒)
                   ดาวอังคาร  หมายถึง  อาวุธ  การต่อสู้  ทหาร  ตำรวจ
                   ฤกษ์เปิดสถานีตำรวจ,  โรงอาหาร,  โรงสรรพวุธ,  ร้านขายอาวุธ  หรือกิจการเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  จะต้องประคองดาวอังคารไว้ให้เด่นเสมอจึงจะเจริญดี

                   ดาวพุธ  หมายถึง  หนังสือพิมพ์,  หนังสือ,  ร้านขายหนังสือ,  การเซ็นสัญญา,  การเจรจา, โฆษก,  การโฆษณา,  การติดต่อ  การวาฤกษ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ดาวพุธจะมีบทบาทรุนแรงและจะต้องเด่น  ยิ่งเด่นเท่าไรความสำเร็จ ความดีเด่นจะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
                   ดาวพฤหัสบดี  หมายถึง  การศึกษา,  การเริ่มเรียนวิชาการต่าง ๆ,  โรงเรียน,  ธนาคาร,  ร้านขายอุปกรณ์การสอบ,  องค์การการกุศล,  สถานสาธารณะ,  การประชุมใหญ่,  วัด,  และสถานที่ทำงานรัฐบาล  ดาวพฤหัสบดีจะมีบทบาทในการนี้โดยตรง
                   ดาวเสาร์  หมายถึงโรงงาน,  โกดังสินค้า,  โรงงานอุตสาหกรรมหนัก,  สมาคมกรรมกร,  ร้านชำ,  สมาคมฌาปนกิจ
                   ดาวเกตุ  หมาถึง  ของโบราณ,  วัดวาอาราม, สิ่งศักดิ์สิทธิ์,  จิตศาสตร์,  สถานที่อันปกปิดเร้นลับ,  วิทยากล  สิ่งแปลก ๆ,  สถานที่คนพิการ,  คนแก่
                   ดาวเนปจูน  หมายถึง  ทหารเรือ,  ท่าเรือ,  เรือ, สัทธิสังคมนิยม,  งานมหาสมาคม,  โรงภาพยนตร์, หอประชุม,  ศาลาการเปรียญ,  แพทย์แผนโบราณ,  ไสยศาสตร์,  สมุนไพร,  น้ำมันเชื้อเพลิง,  โรงกลั่นน้ำมัน,  สถานที่ใกล้น้ำ
                   ดาวพลูโต  หมายถึง  แพทย์  คลินิก,  โรงพยาบาล  สถานวิปัสสนา,  สำนักสงฆ์  วัด,  โหราศาสตร์  การพยากรณ์  ร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์,  ธนาคาร,  การคลัง,  เหมืองแร่,  โบราณคดี,  โบราณวัตถุสถาน,  พิพิธภัณฑ์สถาน

                   ๑๐.   จากกฎเกณฑ์ข้อ ๖   เราจะนำไปปรับเช้ากับฤกษ์อันเป็นเจ้าการต่าง ๆ  อันมี    หมวดดังนี้
                   ดาวอาทิตย์    คือ      ราชาฤกษ์                ธาตุุ    ไฟ
                   ดาวจันทร์       ²        เทวีฤกษ์                  ²        น้ำ
                   ดาวอังคาร     ²        เพชฌฆาตฤกษ์         ²         น้ำ
                   ดาวพุธ          ²        ภูมิปาโลฤกษ์            ²        ดิน
                   ดาวพฤหัสบดี  ²        มหัทโนฤกษ์             ²        ไฟ
                   ดาวศุกร์         ²        เทศาตรีฤกษ์             ²        ลม
                   ดาวเสาร์        ²        ทลิทโทฤกษ์             ²        ดิน
                   ดาวมฤตยู      ²        โจโรฤกษ์                ²         ลม
                   ดาวเนปจูน     ²        เทวีฤกษ์                  ²         น้ำ
                   ดาวพลูโต      ²        สมโณฤกษ์              ²         ไฟ

                   ที่จริงดาวพระเคราะห์ในสุริยะระบบ   คือ  อาทิตย์ และบริวารมีรวมกันเป็นเพียง    ดวงเท่านั้น  จึงเข้าครองฤกษ์ทั้ง    หมวดจนครบ  ส่วนจันทร์มิใช่ดาวพระเคราะห์   หากเป็นเพียงบริวารของโลก   ซึ่งเป็นดาวพระเคราะห์   จันทร์จึงเป็นเพียงตัวแทนของดาวพระเคราะห์  โลกเท่านั้น  จัดให้ครองหมวดเทวีฤกษ์  คู่กับเนปจูน  ส่วนดาวอาทิตย์นั้นเป็นธาตุุไฟโดยกำเนิด  และเป็นประธานของดาวพระเคราะห์ทั้งมวล  จึงน่าจะแยกออกมาต่างหาก   แต่อาทิตย์เป็นพระราชาจึงเหมาะสมในการเป็นราชาฤกษ์อันเป็นฤกษ์ใหญ่กว่าฤกษ์ทั้งปวง   จึงทำให้ฤกษ์ธาตุุไฟมีถึงสามมากกว่าหมวดอื่นทั้งหมด   ถ้าจะจัดหมวดฤกษ์ตามลำดับ  และเพศของดาวพระเคราะห์กับสภาพบวกและลบแล้วจะเป็นไปในรูปดังนี้





หมวดฤกษ์


ดาวพระเคราะห์


ธาตุุ

สภาพบวกและลบ

เพศ
ทลิทโท
เสาร์
ดิน
+
ชาย
มหัทธโน
พฤหัสบดี
ไฟ
+
ชาย
โจโร
มฤตยู
ลม
-
หญิง
ภูมิปาโล
พุธ
ดิน
+
ชาย
เทศาตรี
ศุกร์
ลม
-
หญิง
เทวี
เนปจูน
น้ำ
-
หญิง
เพชฌฆาต
อังคาร
น้ำ
-
หญิง
ราชา
สมโณ
พลูโต
อาทิตย์
ไฟ
ไฟ
+
+
ชาย
ชาย


                 กล่าวง่ายๆ ก็คือธาตุไฟกับดินเป็นเพศชายฝ่ายบวก ส่วนธาตุน้ำกลับลมเป็นเพศหญิงฝ่ายลม

ส่วน ราหูกับเกตุเป็นจุดคำนวณ ในการเกิดคราสไม่ใช่ดาวจึงไม่มีสิทธิครองฤกษ์ แต่อนุโลมให้ราหูครองราศีพฤษภธาตุดินเพศชาย และเกตุครองราศีเมถุนธาตุลมเพศหญิงไปก่อน จนกว่าจะมีการค้นพบดาวพระเคราะห์วงนอกถัดจากดาวพลูโตออกไป จึงจะได้นำมาครองราศีถัดไปคือพฤษภและเมถุนตามลำดับ

การจัดธาตุของดาวพระเคราะห์  ได้จัดตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ดาวใดเป็นเกษตรราศีธาตุใดก็จะเป็นธาตุนั้น และเป็นพระเคราะห์เรือนเดียวบริสุทธิ์โดยแท้ดังนี้

                  
 ดังนี้จึงเห็นได้ว่าหมวดฤกษ์ที่เป็นธาตุเดียวกันย่อมจะเข้ากันได้ดังนี้
          ธาตุไฟ   สมโณฤกษ์,  ราชาฤกษ์,  มหัทธโณฤกษ์ (เพศชาย  ฝ่ายบวก)
          ธาตุดิน   ทริทโธฤกษ์,  ภูมิปาโลฤกษ์ (เพศชาย  ฝ่ายบวก)
          ธาตุลม   เทศาตรีฤกษ์,  โจโรฤกษ์ (เพศหญิง  ฝ่ายลบ)
          ธาตุน้ำ   เพชฌฆาตฤกษ์,  เทวีฤกษ์ (เพศหญิง  ฝ่ายลบ)
          ตามทฤษฎีของดาวพระเคราะห์เป็นเกษตรครองเรือนเดียวเช่นนี้  ตรงตามหลักการ  ดาราศาสตร์  และวิทยาศาสตร์
          ในการหาฤกษ์  ถ้าฤกษ์ต้องประสงค์ยังไม่ได้จังหวะแต่จำเป็นจะต้องการฤกษ์โดยด่วน  ก็ย่อมจะเอาฤกษ์ประเภทธาตุเดียวกันมาทดแทนกันได้  หรือจำเป็นที่สุดก็เพศเดียวกันแทนกันได้
          ๑๑.  จากกฎเกณฑ์ข้อ ๑๐  ที่ผ่านมา  เมื่อเราได้ทราบถึงเพศและสภาพบากและลบของหมวดฤกษ์แล้ว  ก็อาจจะทดแทนกันได้ถ้าเกิดความจำเป็นดังนี้  เช่น
          ฤกษ์เปิดธนาคาร  เป็นที่สังเกตว่า  ลักษณะของธนาคารคือ  การนำเงินเข้ามาฝากธนาคาร  มาเก็บสะสมไว้เป็นลักษณะอาการบวก  โดยกฎเกณฑ์แล้วเราจะต้องใช้มหัทธโนฤกษ์  แต่เนื่องจากความจำเป็นจะรอช้ามิได้เราก็จะต้องนำฤกษ์ธาตุไฟด้วยกันมาทดแทน  คือ  ราชาฤกษ์และสมโณฤกษ์  ซึ่งล้วนเป็นฤกษ์ฝ่ายบวกด้วยกันทั้งสิ้น
          และห้ามนำฤกษ์ฝ่ายลบ  มาใช้ในกิจการธนาคารเป็นอันขาดด้วย  ลักษณะลบไม่ต้องโฉลกกับกิจการธนาคาร
          เป็นที่น่าประหลาดว่า  ในลัทธิตันตระ  หรือรหัสวิทยาถือว่าธาตุไฟคือความร่ำรวย  และทรัพย์สมบัติ  มีในคัมภีร์ต่างๆ  ทุกชาติทุกศาสนา  เช่นวันดีคืนดีตรงที่ใดมีทรัพย์สมบัติฝังอยู่  มักจะมีสัญลักษณ์ของไฟลุกขึ้นตรงบริเวณนั้น
          ดังนั้น  ในการดูดวงชาตาของบุคคล  ให้พึงสังเกตุว่าบุคคลใดจะเก็บทรัพย์อยู่  จะร่ำรวย  มักมีดาวธาตุไฟเด่น  หรือดาวอาทิตย์,  พฤหัสบดีกับพลูโตอยู่ในตำแหน่งที่ดี  หรือได้รับโยคเกณฑ์ที่ดี
          ฤกษ์การยกทัพ  การออกสำรวจ  การค้นคว้า  การจู่โจม  อันเป็นลักษณธการเคลื่อนออก  การกระจายตัว  จัดเป็นฝ่ายลบ  ส่วนใหญ่เรามักจะใช้  โจโรฤกษ์  ธาตุลมอันเป็นฤกษ์เหมาะสมที่สุด  ในการเอารถออกจากอู่  การเดินทางไกล  การปรับปรุงแก้ไข  การปฏิวัติ  จำเป็นจะต้องใช้ฤกษ์นี้  จึงจะสำเร็จ  ตามลักษณะอาการลบ  ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เวลากระทันหันจะรอโจโรฤกษ์มิได้  ก็ต้องใช้เทศาตรีฤกษ์แทน  ด้วยเป็นธาตุลมเป็นฝ่ายลบเหมือนกัน
          มีข้อคิดที่ควรจดจำก็คือ  ห้ามใช้ฤกษ์ฝ่ายบวกเป็นอันขาด  ด้วยเป็นอาการที่ไม่ต้องโฉลกกับกิจการที่กระทำเคยเห็นมามากผู้กระทำการปฏิวัติล้มเหลว  ก็เพราะไปใช้ฤกษ์บวก  เช่น  ราชาฤกษ์,  มหัทธโมฤกษ์  หรือภูมิปาโลฤกษ์  จึงผิดพลาด  และผิดหวังอย่างไม่เป็นท่า
          นี่เป็นเคล็ดสำคัญ  การหาฤกษ์หายาม  จะต้องมีความรู้อย่างลึกซึ้ง  จะต้องรู้วิธีการเรียนผูกและเรียนแก้กล่าวตามภาษาชาวบ้านก็คือ  จะผู้กต้องใช้บวก  จะแก้ต้องใช้ลบ  ใครใช้ไม่เป็นอย่าได้ดำริไปให้ฤกษ์ยามในการใหญ่ๆ เป็นอันขาด จะพาให้ผู้อื่นฉิบหายวายป่วงไปหมด
          การสงครามการทำลายล้าง  ก็เหมือนกับเอาน้ำสาดไปยังกองดินหรือกองทรายให้ทะเลลงไปราบอย่างนั้นแหละบ่งถึงว่าเป็ฯสภาพลบ  ตรงกับสภาพปรัชญาของฮินดูโบราณคือ
          พระศิวะ  หรือพระอิศวร  ทรงสถิตบนยอดเขาไกรลาศ  ผู้ผดุงรักษาโลก  ผู้ให้  ท่านเป็นธาตุดินโดยสภาพธรรมชาติ  และธาตุไฟเพราะมีฤทธิ์มาก  มีตาที่สามเป็นไฟเผาผลาญใดๆ ได้
          ส่วนพระวิษณุ  หรือพระนารายณ์นั้น  ปกติท่านประทับบรรทมบนขนดหลังพญานาควาสุกรี  กลางมหาสมุทรที่เรียกว่าเกษียรสมุทร  ท่านเป็นธาตุน้ำ  เป็นฝ่ายทำลาย  เมื่อใดที่เกิดยุคเข็ญขึ้นบนโลก  ก็จะมีเทวดามาเป่าสังข์ปลุกให้ทรงตื่นบรรทม  และอวตารลงไปทำลายล้างโลกอันวุ่นวายจนสงบราบคาบ  พระองค์เป็นเจ้าแห่งการทำลายหรือการสงครามโดยแท้
          เห็นได้ว่าธาตุน้ำเป็นธาตุการทำลายและการสงครามโดยตรง  ในกิจการเกี่ยวกับทหารหรือตำรวจ  จึงต้องใช้เพชฒฆาตฤกษ์  ธาตุน้ำ  แต่ถ้ามีความจำเป็นอันรีบด่วนก็ใช้เทวีฤกษ์แทนได  ด้วยเป็นธาตุน้ำเหมือนกัน
          ดาวเนปจูนเจ้าสมุทร  ครองหมวดเทวีฤกษ์  เทวีฤกษ์เป็นฤกษ์แห่งความสวยงาม  ความลมุนละไม  เป็นธาตุน้ำ  ฝ่ายลบ  และเป็นเพศหญิง  แต่ตามทฤษฎีรหัสวิทยากล่าวว่า  เพศหญิงนี้มีสองภาค  อีกภาคหนึ่งเป็นภาคอันดุร้าย  และเก่งกล้าโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสิ่งใดๆ  ในโลก  ดังเช่น
          พระนางอุมาเทวีของพระอิศวร  อีกภาคหนึ่งคือ  พระนางกาลีที่ดุร้าย  ร้ายกาจที่สุด  ชอบการสังเวยโลหิตสดๆ  ขอบในการฆ่า
          พระนางจูโนในเทพนิยายของกรีก  พระนางเธอเป็นชายาของเทพบิตรจูปิเตอร์  ซึ่งมีความงามเป็นเยี่ยมแต่พระนางมีความหึงหวงที่สุด  ทรงติดตามพิฆาตศัตรู คือ ชายาลับของสามี  อย่างโหดเหี้ยมที่สุด  แม้พระสวามีเองก็ช่วยแก้ไขไม่ได้  ด้วยพระนางจูโนมีฤทธิ์และดุร้ายมาก
          นั่นคือเทวนิยายที่เกิดจากศาสนาดึกดำบรรพ์  แต่ในสภาพของความเป็นจริงนั้น  เราเคยมีมหาราชินีแห่งรัสเซีย  และพระนางวิคทอเรียแห่งอังกฤษ
          ไม่เคยมีสมัยใดในประวัติศาสตร์ทั้งสองชาติ  ที่ประเทศของตนได้กลายเป็นมหาอำนาจน่าเกรงขาม  และ มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกรยิ่งไปกว่าในรัชสมัยของสองพระนางเป็นสมัยที่เต็มไป ด้วยการแผ่อำนาจ การสงครามการนองเลือด จนราชอาณาจักรของสองแผ่นดินแผ่ไปได้ไกลกว้างขวางที่สุดยิ่งกว่ากษัตริย์ใด ได้เคยทำมา
          นี่คืออำนาจอันร้ายกาจของนางพญา  และนี่เองคือเทวีฤกษืที่มีฤทธิ์เดช  อันมีดาวเนปจูนครองฤกษ์อยู่
          ดังนี้ฤกษ์เกี่ยวกับทหาร  ตำรวจ  และผู้ถืออาวุธการประกาศสงคราม  จึงมีฤกษ์ที่เหมาะสมอยู่สองฤกษ์คือเพชฌฆาตฤกษ์  และเทวีฤกษ์ อันเป็นธาตุน้ำ  และเพศหญิงทั้งคู่  ซึ่งเป็นฝ่ายลบ
          ๑๒.  ยังมีราหูกับเกตุอีกสองดาว  แม้จะมิใช่ดาวพระเคราะห์แต่ก็มีพลังอำนาจมาก  จะพออนุโลมให้ครองหมวดฤกษ์อะไร  ข้อนี้ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า
          ราหูเป็นจุดคราส  บังแสงสว่างของอาทิตย์ได้  เป็นธาตุดิน  จึงควรครองหมวดภูมิปาโลฤกษ์  ขณะเดียวกับเกตุคราสน้อย  ก็ครองหมวดโจโรฤกษ์  ธาตุลม  ด้วยมิใช่จุดคราสโดยตรงแต่เป็นจุดสมมติ  ซึ่งมีผลและทำให้จิตใจหวั่นไหวได้
          คำถาม  คำตอบเกี่ยวกับการให้ฤกษ์
          ๑.  ถาม  การให้ฤกษ์  ในสมัยก่อนท่านเคร่งครัดในเรื่องดิถีกับกฎเกณฑ์อื่นๆ  อีกมาก  ถ้าเราจะตัดกฎเกณฑ์ทิ้งไปเสียโดยเห็นว่าขณะนั้นดวงดาวกำลังเดินเข้าแง่มุมที่ดีซึ่งกันและกัน  สมควรจะวางลัคนาให้เกิดประโยชน์  หรือว่าต้องรอดิถีกับกฎเกณฑ์อื่นๆ  ให้ถูกต้องเสียก่อน
               ตอบ  ตามทรรศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า  ประเภทของหมวดฤกษ์อันเหมาะแก่การทำการ  กับโยคเกณฑ์ของดวงดาวมีความสำคัญกว่ากฎเกณฑ์เล็กๆ  น้อยนั้น  ด้วยการดูดิถีก็ดี  การเลือกวันก็ดี  เป็นกฎเกณฑ์อันกว้างๆ สำหรับการให้ฤกษ์  โดยมิได้ใช้ดวงดาวเข้าประกอบ  ถ้าจะให้ได้ผลดีทางดวงดาวแล้ว  ก็ควรงดความเคร่งไนกฎเกณฑ์เสียบ้าง  และต้องถือว่าจังหวะของดวงดาวสำคัญกว่า

          ๒.  ถาม  เรื่องการให้ฤกษ์นี้  โบราณท่านสาปแช่งไว้ในบางตำราที่มิได้เคร่งตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้
               ตอบ  ท่านสาปแช่งไว้  ก็ด้วยเหตุว่า  การให้ฤกษ์นั้นเป็นศิลปสูงสุดในวิชาโหราศาสตร์  ผู้ให้ฤกษ์ยามจะทำชุ่ยๆ  ส่งเดชมิได้  จะต้องทำจิตใจให้สูง  และปรารถนาดีแก่ผู้จะทำการ  แต่เมื่อผู้ให้ฤกษ์ได้รู้ซึ้งในวิชาการดีพอรู้ถึงน้ำหนักคุและโทษ  โดยปรารถนาจะให้เกิดโทษน้อยที่สุด  ไม่ประสงค์จะทำให้ผู้ใช้ฤกษ์เดือดร้อน  วิธีนี้แม้จะฝืนตำราก็ไม่เกิดโทษแต่อย่างไร  เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆ ย่อมมีข้อยกเว้นโดยเห็นความจำเป็นที่มีคุณค่าสูงกว่าเข้ามาทดแทนกัน

๓.  ถาม  ผู้ที่ยังไม่จัดเจนทางโหราศาสตร์ดีพอ  พอจะหาฤกษ์ได้ไหม
               ตอบ  ก็ควรให้ฤกษ์ไปตามความรู้  และกฎเกณฑ์ของตำราที่รู้มา  ย่อมเกิดผลร้ายน้อยกว่าการทำการใดไปโดยส่งเดช  แต่ในฤกษ์สำคัญ เช่นฤกษ์มงคลต่างๆ หรือฤกษ์ระดับสำคัญที่ต้องเสี่ยงเกี่ยวกับความเป็นความตายของผู้คนแล้ว  ถ้ารู้ไม่พอ  ไม่ควรให้ฤกษ์เป็นอันขาด  เพราะฤกษ์ระดับชาติเช่นนั้น  ผู้วางฤกษ์จะต้องรู้ลึกซึ้ง และศึกษาคัมภีร์มากมายหลายปกรณ์  และต้องเจนจบในอาถรรพณ์ศาสตร์อีกด้วย

 ถาม  ระชาฤกษ์ เทวีฤกษ์  และภูมิปาโลฤกษ์สามหมวดฤกษ์นี้  เคยมีผู้กล่าวว่าใช้ได้ในกิจการมงคลทุกรกรณีย์ อยากทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร
               ตอบ  ข้อเท็จจริงก็คือ  สามหมวดฤกษ์นี้จะใช้ในงานมงคลไม่ได้ทุกข์กรณีย์  ความเป็นจริงก็คือ  ไม่ว่าฤกษ์จะสูงปานใดถ้าใช้ผิดประเภท กลับให้ผลร้ายแรงยิ่งนัก
          เช่นเอาราชาฤกษ์ไปเปิดร้านชำเล็กๆ มีผลถึงแก่ฉิบหายขายตน  บางคนเอาฤกษ์นี้ไปเปิดไนท์คลับ  ตามความจริงที่ได้เห็นมาปรากฏว่า  ไนท์คลับนั้นภายหลังไฟไหม้  และเจ้าของต้องล้มละลายไปในที่สุด
          การใช้ฤกษ์ถูกประเภท  เป็นศิลปอันสูงส่ง  และสำคัญมาก  และในทางตรงกันข้ามกับคำถามที่ถามมา  ผู้ที่ชำนาญการให้ฤกษ์  เขาจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้สามฤก์นั้นในงานมงคล  เว้นเสียแต่ว่าจะจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ส่วนกฎเกณฑ์ในการเลือกฤกษ์นั้น  ได้พรรณาอย่างละเอียดไว้แล้วข้างต้น

๕.  ถาม  การให้ฤกษ์จำเป็นจะต้องดูดวงชาตาของผู้มาขอฤกษ์เสียก่อน  จริงไหม
               ตอบ  ถูกต้อง  เราจะต้องดูดวงชาตาของผู้ทำการว่าเขามีเกณฑ์นั้นๆ หรือเปล่า  เช่น แต่งงาน,  ขึ้นบ้านใหม่,  ปลูกบ้าน  หรือหมั้นหมาย  ถ้าดวงชาตาของเขามีเกณฑ์ดีสอดคล้องกับการขอฤกษ์ยาม  ก็จะต้องวางฤกษ์ให้มีดวงดาวส่งเสริมให้เขาทำการสำเร็จด้วย  เพราะถ้าไม่ สอดคล้อง บางทีอาจจะมีอุปสรรคมาขัดขวางได้
          เช่นฤกษ์เดินทาง  ถ้าเกณฑ์ดวงของเขาไม่มีการเดินทาง  ให้ฤกษ์ไปก็เป็นหมัน  เป็นการเปล่าประโยชน์
         
๖.  ถาม  การให้ฤกษ์  ต้องดูวาสนาของบุคคลจริงไหม
               ตอบ  ถูกแล้ว

          
๗.  ถาม  ในดวงของบุคคล  ซึ่งมองเห็นแล้วว่าทำการปฏิวัติไม่สำเร็จ  แต่เราจะช่วยด้วยวิธีการให้ฤกษ์จะสำเร็จไหม
      ตอบ  ไม่สำเร็จ  ดังได้ย้ำแล้วว่าต้องดูวาสนาของคน

          ๘.  ถาม  บุคคลผู้หนึ่งต้องการฤกษ์  เพื่อร่วมหุ้นส่วนกันตั้งร้านค้า  หรือกิจกรรมต่างๆ  แต่ถ้าในดวงของเขาบ่งว่าไม่ได้รับความสำเร็จทางการงานในปีนั้น สมควรจะให้ฤกษ์ไปไหม
               ตอบ  ไม่สมควรให้ฤกษ์  เพราะฤกษ์จะฝืนอำนาจฟ้าดินไม่ได้  ฤกษ์เป็นเพียงเครื่องช่วย  หรืออุปการะเท่านั้น

          ๙.  ถาม  การวางลัคนาฤกษ์  ต้องวางอย่าให้ตรงกับนวางค์ร้ายหรือตรียางค์ลูกพิษ  หรือนวางค์กับตรียางค์  อริ,  มรณะ  และวินาศนะ  ใช่ไหม
               ตอบ  ถูกแล้ว  ข้อนี้เป็นกฎเกณฑ์สำคัญของคนโบราณ  จะต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด

          ๑๐. ถาม  บางคนไม่ถือฤกษ์ยาม  ดังเช่นท่านผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งสั่งเปิดรัฐสภาที่สั่งขึ้นเสร็จใหม่ๆ  โดยไม่เอาฤกษ์ยามเลย  โดยให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญหลายต่อหลายฉบับล้วนแต่ให้ฤกษ์อย่างวิเศษกันทั้งนั้น  แต่ก็ต้องถูกลบล้างไปหมด  ข้อนี้ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร
          ตอบ  นั่นเป็นการกระทำโง่ๆ  ทุกชาติทุกภาษาเขาทำงานใหญ่ก็ต้องมีฤกษ์ยามกันทั้งนั้น  ผลก็เห็นกันอยู่แล้วว่ารัฐสภาวุ่นวายปานใด  รัฐบาลก็อยู่ไม่ยืดเยื้อเหมือนเดิม  อีกประการหนึ่งที่กล่าวว่ารัฐธรรมนูญมีการให้ฤกษ์แต่ละครั้ง  ข้อนี้ก็ต้องพิจารณากันก่อนว่าฤาษ์นั้นดีเพียงไรมิใช่ว่าผู้ให้ฤกษ์เป็นคนมีชื่อเสียงแล้วฤกษ์จะดีวิเศษเสมอไป  จะต้องเอากฎเกณฑ์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเข้าตรวจ
          ข้อสำคัญมันเกี่ยวกับอำนาจของดวงดาว  กล่าวคือในช่วงปีนั้นๆ  บังเอิญดาบาปเคราะห์เกิดเล็งกันหรือกุมกันหรือทามุมจตุโกณต่อกัน  หรือ  เดินแถวเรียงกันหลายราศี  ถ้าดาวโคจรในรูปเช่นนี้แม้ว่าจะมีการให้ฤกษ์ดีก็ดีไม่ตลอด  ด้วยแง่มุมของดวงดาวอันเกิดโทษนั้นๆ  มีส่วนบั่นทอนและโทษ

๑๒. ถาม  ฤกษ์ทำการของบุคคล  จำเป็นต้องรอดาวบ้างไหม
                 ตอบ   จำเป็นมาก  เช่นดาวศุกร์เป็นดาวเจ้าการของความรัก  การแต่งงาน  ถ้าขณะนั้นดาวศุกร์กำลังเดินกุมกับดาวเสาร์คู่ศัตรู  หรือเดินเล็งกับดาวเสาร์อยู่  ขืนให้ฤกษ์ไปแม้ฤกษ์จะดีก็ไม่วายจะเกิดการหย่าร้าง  หรือเกิดอาเพทในภายหลัง  ด้วยดาวเจ้าการถูกเบียนอย่างรุนแรงถึงปานนั้นจะส่งคุณประโยชน์อันยั่งยืนได้อย่างไรกัน  โหรที่ฉลาดจะต้องรอดาวศุกร์ให้เดินพ้นจุดเสียหายนั้นและจะไม่ยอมให้ฤกษ์แต่งงานหรือการสู่ขอหมั้นหมายกันอย่างเด็ดขาด

๑๓. ถาม  ดาวบางคู่จะอยู่ในจุดตรึงกันเกินกว่าสองปีขึ้นไปหรือมากกว่านั้น เช่น  เสาร์กุมมฤตยูหรือเล็งดาวเนปจูน  แบบนี้ถ้าจะรอให้ฤกษ์ดีจริงๆ  ก็ต้องรอกันนานมาก  และความจำเป็นที่จะต้องทำการรอช้าไม่ได้  แบบนี้ก็จำเป็นต้องให้ฤกษ์ไป  ดาวเช่นนี้มีส่วนเบียนดาวฤกษ์ใช่ไหม
                 ตอบ  เป็นของน่นอน  และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย  ผู้ให้ฤกษ์จะต้องใช้ศิลปะอันมีชั้นเชิงอย่างสูงเพื่อให้เกิดโทษน้อยที่สุด
          ดวงดาวอันตรึงกันเช่นนี้ถือว่าเป็นกรรมร่วม  ซึ่งทุกดวงชาตาในโลกจำต้องรับกรรมร่วมกัน  ฤกษ์ใดๆ  ที่กำหนดขึ้นมาในระยะปีวันวิกฤตดังกล่าวก็ต้องรับผลร้ายไปโดยทั่วหน้า  จะมากหรือน้อยแค่ไหนแล้วแต่ชั้นเชิงของผู้ให้ฤกษ์  ถ้า ผู้ที่ไม่เจนสังเวียนดีพอในการวางฤกษ์ บางที่ก็กำหนดฤกษ์ให้เข้าไปอยู่ในแนวพิษร้ายของดาวคู่นั้นๆ อย่างเต็มที่ก็ได้ซึ่งเคยผ่านตาอยู่บ่อยๆ  แบบนี้ไม่ให้ฤกษ์เสียเลยจะดีกว่า

          ๑๔.  ถาม  ส่วนใหญ่มักจะให้ฤกษ์กันในเวลากลางวัน  ส่วนกลางคืนจะทำได้ไหม
                  ตอบ  เพราะว่า  กลางวันเป็นเวลที่สะดวกของมนุษย์  กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนหรือนอนหลับไม่นิยมทำการใดๆ กัน  จะปลูกบ้านก็ไม่สะดวก  จะทำอะไรก็ขลุกขลักไปทั้งนั้น  ที่จริงจะให้ฤกษ์กลางคืนก็ได้  ถ้าหากสะดวกและสิ่งแวดล้อมอำนวยให้  เช่นการย้ายบ้าน  การเดินทาง  การเจรจา  แต่ก็ต้องดูกาละเทศะเหมือนกัน  เช่น  ให้ฤกษ์เปิดร้านในเวลาดึก  อย่างนี้เรียกว่าผิดโฉลก  หรือขึ้นบ้านใหม่เวลาใกล้ค่ำ  นั่นเขาถือกัน  เพราะการขึ้นบ้านใหม่หมายถึงการเริ่มชีวิตใหม่อันแจ่มใส  ถ้าไปขึ้นบ้านเอาในเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน  หรือเวลโพล้เพล้ตะวันลับโลกไปแล้ว  มันหมายถึงการดับสูญ  เขาไม่นิยมกัน
                 เวลาพระอาทิตย์ตกดินเช่นนี้  โบราณนิยมในการสะเดาะเคราะห์  คือเอาตุ๊กตาเสียกระบาลไปตั้งไว้ตรงทางสามแพร่งพร้อมกับเครื่องบัตรพรีเทวดา  แล้วต่อยตุ๊กตาให้ขาดไปเป็นการแสดงว่าตุ๊กตารับเคราะห์แทนตัวเขาไปแล้ว  พิธีนี้เลียนแบบมาจากการตัดหัวคนโทษสมัยโบราณเขาจะทำในเวลาอาทิตย์กำลังตกดิน  ตรงทางสามแพร่ง  จัดเป็นตะแลงแกง  เมื่อฆ่าให้ตายแล้วก็ถือว่าเป็นการสาปแช่งให้ผู้นั้นลับไป  อย่าให้ผุดเกิดขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์จะได้ไม่มาทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอีกต่อไป

          ๑๕.  ถาม  ฤกษ์ที่สมควรอย่างยิ่ง  เหมาะในการทำเวลากลางคืนมีอะไรบ้าง
                  ตอบ  คือฤกษ์พุทธาภิเษก  ฤกษ์ทำขวัญ  สู่ขวัญฤกษ์การเรียนคาถาอาคม  การฝึกสมถกัมมัฏฐาน  ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความสงัดเงียบเป็นการเหมาะอย่างยิ่ง
                   ฤกษ์การปลุกเศกเครื่องรางของขลังก็เหมาะ  จะทำในตอนกลางคืนด้วยความสงบจะทำให้เสมาธิกล้าแข็งขึ้นพวกกระเหรี่ยงจะนิยมปลุกเศกของขลังกับเขี้ยวงา  ของเขาในวันแรม ๑๕ ค่ำหรือวันดับ  และกระทำกันในตอนใกล้เที่ยงคืน  ถือกันว่ามีประสิทธิ์วิเศษยิ่งนัก

          ๑๖  ถาม  สมัยโบราณรู้สึกว่าจะมีฤกษ์หยุมหยิมมาก  เช่นฤกษ์ทำลานข้าว  เอาข้าเข้ายุ้ง  ทำขวัญข้าว  หว่านข้าว ปลูกต้นไม้  ฤกษ์อาข้าวขึ้นลาน ฯลฯ  สมัยนี้จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นด้วยไหม
                  ตอบ  สมัยนี้การเพาะปลูกไม่ว่าสวน  หรือนา  ดูเหมือนจะมีฤกษ์มียามกันเสียแล้ว  ถือกันว่าไม่จำเป็น  สมัยก่อนนั้นเขาร่วมใจร่วมแรงกันทำเรียกว่าลงแขก  คนหมู่มากเช่นนั้นถ้าจะให้เรียบร้อยก็จำเป็นต้องมีฤกษ์ยามจึงจะดีและถือว่าเป็นการนัดหมายกันแน่นอนด้วย  สมัยนั้นเขาไม่มียาฆ่าแมลงและยากำจัดศัตรูพืช  ก็ต้องมีฤกษ์ยามมิให้มีศัตรูพืชทำลายได้

          ๑๗.  ถาม  สมัยก่อนดูจะคลั่งเรื่องฤกษ์ตั้งแต่เกิดมาจนตาย  ทำอะไรต้องมีฤกษ์ยามตลอดเวลา  เช่น  เอา  ทารกขึ้นอู่ (เปล)  ทำขวัญเดือน  โกนจุก  ฯลฯ  สมัยนี้ไม่ทำกันก็ไม่เป็นไร
                  ตอบ  ก็อย่างว่า  จะเอาสังคมสมัยก่อนมาเทียบกับสมัยนี้น่าจะลำบาก  คนสมัยโน้น  ไม่มีโรงหนัง  ไม่มีโทรทัศน์  ไม่มีบาร์  และที่หย่อนใจอันมากมาย  เขาอยู่กันเป็นหมู่บ้าน  มีพิธีที่ไหนสักทีก็ไม่ชุมนุมกันไปพบปะสนทนารื่นเริงกัน  ฤกษ์ยามก็จำต้องมีมากจะได้มีเวลาพบปะกันบ่อยๆ  เรื่องฤกษ์กับสังคมจึงต้องเข้าไปผูกพันกันอย่างแนบแน่นด้วยประการนี้

          ๑๘.  ถาม  สมัยก่อนมีคัมภีร์สีติฤกษ์  มีการคำนวณวางกฎเกณฑ์ฤกษ์มากมาย  มีฤกษ์เข้า  ฤกษ์ออก  เกณฑ์จักขุมายา  ฤกษ์กนกบัญชร  มีปกรณ์เกี่ยวกับฤกษ์มากมาย  ตำราโน้นขัดกับตำรานี้ยุ่งไปหมด  ถ้าถือเคร่งจะหาฤกษ์ไม่ได้เลย  ควรจะทำอย่างไร
                  ตอบ  ก็อย่างว่า  เกจิอาจารย์มีมาก  ตำรามันก็มากเรียนกันไปไม่ได้ดูเหตุผลทั้งยังไม่มีการสังคายนาตำรากันเสียเลย  มันจึงมีกระพื้มากกว่าแก่น  ใครเชื่อถือก็ยึดกันไปใครไม่เชื่อก็อย่ายึด  เอาเพียงแต่รู้จักหมวดฤกษ์  และฤกษ์อันเหมาะแก่การก็น่าจะพอแล้ว  ยิ่งไปยึดเรื่องดิถีอันมีตำราอีกมากมายก่ายกองไม่แพ้กันแล้วก็ยิ่งจะไปกันใหญ่  ยิ่งมีการขับฤกษ์ด้วยแล้วมันไม่ผิดอะไรกับการขับดวงชาตา  กลายเป็นเรื่องยุ่งยากพอดีพอร้ายก็เสียคน  ด้วยจับอะไรไม่ได้ผิดไปเสียหมด

          ๑๙.  ถาม  ไปค้นตำราของเก่า  ไม่กล้าผู้ที่กอดแจอยู่กับตำราเขาด่าว่าหรือสาปแช่งเอาบ้างหรือ
                  ตอบ  โดนมาแล้วไม่หวาดไหว  และไม่กลัวคำสาปของผู้ที่มีโมหะจริต  ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยล่วงเกินผู้ที่ยึดถือในตำรา  เพียงแต่ว่าต่างคนต่างเดิน

          ๒๐.  ถาม  คุณเองก็เคยเขียนตำราฤกษ์  โดยเอาตำราเก่าๆ  มาแจกแจงอย่างละเอียด    
                  ตอบ  นั่นเป็นเรื่องสมัยก่อนเมื่อครั้งยังยึดในตำราอยู่  ประสงค์จะรวบรวมตำราเก่ามาไว้ในที่เดียวกัน  จะได้ค้นง่ายหาง่ายสะดวกแก่ผู้ค้นคว้า  มีการแทรกความคิดเห็นลงไปบ้าง
          แต่ตำราก็ยังคงเป็นตำรา  ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละให้เป็นหลักฐานว่าคนสมัยก่อนเขามีวิธีการกันอย่างไร
          แม้หนังสือการให้ฤกษ์ฉบับง่ายเล่มนี้  ประสงค์จะให้เป็นคู่มือในการให้ฤกษ์เล่มเล็กๆ  ง่ายๆ  ก็ยังรวบรวมของโบราณเอามาไว้ให้ปฏิบัติกันตั้งเยอะแยะ  บางอย่างยังไม่มีเวลาพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผล  ก็เลยลอกเอามาทั้งดุ้นอย่างนั้นแหละ

          ๒๑.  ถาม  ขอถามตรงๆ  ว่าฤกษ์คืออะไร
                  ตอบ  ฤกษ์คือการดูดวงดาวมาใช้พยากรณ์  ระบบเก่าแก่ที่สุดสมัยที่ใช้ระบบจันทรคติ  มีกลุ่มดาวฤกษ์  ๒๗ กลุ่มด้วยกัน (ในตำราพุทธฝ่ายมหายานว่ามี ๒๘  กลุ่ม)  โดยสังเกตุว่า  ผู้เกิดมาขณะดวงจันทร์กำลังโคจรผ่านกลุ่มดาวนั้นๆ ชาตาชีวิตว่าเป็นอย่างไรก็จดจำบันทึกไว้  เมื่อได้สถิติแน่นอนแม่นยำ  เห็นข้อแตกต่างกัน  ๒๗ ประการก็เลยจัดออกเป็น ๙ หมวดด้วยกัน  คือลักษณะใหญ่ๆ  ที่คล้ายกันมีอยู่ ๙ กลุ่ม  สมัย ต่อมาเมื่อใช้ระบบสุริยคติคือดูดวงอาทิตย์โคจรผ่านกลุ่มดาวต่างๆ โดยสังเกตุว่าอาทิตย์โคจรจะครบรอบจักรราศีใช้เวลา ๑ ปีเต็มๆ จึงแบ่งกลุ่มดาวเสียใหม่เป็น ๑๒ กลุ่มทับลงไปบนเส้นทางเดิมอันมี ๒๗ กลุ่มนั้น อาทิตย์โคจร ๑ กลุ่มหรือเรียกว่าราศีละหนึ่งเดือน  ต่อจากนั้นก็สังเกตุดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ ที่เคลื่อนที่ได้  มีการบันทึกจดจำเวลาการโคจร  มีการคำนวณทำปฏิบทินขึ้น  แม้จะมีการพยากรณ์ว่าบุคคลราศีนั้นๆ มีนิสัยชาตาเป็นเช่นนั้นๆ  ก็ยังคงใช้จันทร์ดูฤกษ์ยามอยู่เช่นเดิม

          ๒๒.  ถาม  เพราะเหตุใดจึงต้องดูฤกษ์จากจันทร์อันเป็นระบบเก่าแก่  แทนที่จะดูจากดวงอาทิตย์
                  ตอบ  เพราะว่าการดูจันทร์โคจรผ่านกลุ่มดาวฤกษ์มนุษย์ได้สังเกตุสังกาได้ผลแม่นยำมานานพันๆ ปีแล้วจึงทิ้งไม่ได้  อย่างไรก็ดี  ตำรานี้ได้มีการวางลัคนาฤกษ์ตามธาตุของราศี  และได้ปรับกลุ่มดาวฤกษ์มาเข้ากับสุริยคติอยู่แล้วจึงน่าจะเกิดผลอันควรพึงพอใจแก่ผู้สนใจทั่วไป