การวางลัคนาฤกษ์มีกฎเกณฑ์ ดังนี้
(๑) กฎเกณฑ์แรก ท่านห้ามอยู่แล้ว อย่าให้ลัคนาดวงฤกษ์เป็นอริมรณะและวินาศนะ กับดวงฤกษ์ ของเจ้าการ คือผู้ประกอบพิธี ถ้าเป็นฤกษ์มงคลสมรส ซึ่งจำต้องดู ทั้งดวงบ่าวสาวประกอบก็จะต้องอย่าให้ไปอยู่ในตำแหน่ง เป็น ๖ , ๘ และ ๑๒ แก่ลัคนาทั้งสองดวงดังกล่าว
แต่ก็นั่นแหละกฎเกณฑ์นี้ไม่น่าจะเคร่งครัดให้มากนัก ด้วยในความจริง เราคงจะเห็นว่า มีคู่ผัวตัวเมียหลายคู่ ต่างก็มีลัคนาเป็นอริ มรณะ และวินาศต่อกัน ก็ยังอยู่กันยืดยาว ที่เป็นเช่นนั้นก็ด้วยในดวงชาตาของคู่เหล่านั้น ล้วนมีสมพงศ์ ดาว เช่น อาทิตย์ ชายสัมพันธ์ กับ จันทร์ของหญิง หรือ ดาวตนุลัคน์ของหญิง หรือมีคาวคู่มิตรอยู่ในราศีเดียวกัน เป็นต้น
ดังนี้ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ ก็น่าจะพิจารณาถึงดาวตนุลัคน์ (คือเจ้าเรือนลัคนา) ประกอบด้วย คือแทนที่จะเอาลัคนาดวงฤกษ์สัมพันธ์กับลัคนาของเจ้าการ อาจจะเอาไปสัมพันธ์กับตนุลัคน์ของเจ้าการก็ได้
๒. การวางลัคนาดวงฤกษ์ ก็เหมือนกับการดูดวงชาตาของบุคคลทั่ว ๆ ไปนั้นเอง ดังนี้กฎเกณฑ์การวางลัคนา จึงควรระวังอย่าให้ดาวร้ายคือบาปเคราะห์เบียนลัคนา ด้วยจะทำให้ฤกษ์นั้น เลื่อมสมรรถภาพไป จะมากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่ว่าจะถูกเบียนมากน้อยแค่ไหน ดังนี้
(ก) อย่าได้บาปเคราะห์ตั้งอยู่ในมุม กากะบาดกับลัคนาคือเป็น ๑ เป็น ๔ เป็น ๗ และเป็น ๑๐ แก่ลัคนา
ถ้าบาปเคราะห์ ตั้งอยู่ ครบมุมจตุโกณต่อลัคนาอันเป็นมุมกากะบาดเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเบียนร้ายแรงที่สุด
แม้ไม่ครบมุม ๔ มุม คือ เพียงเป็น ๔ หรือเป็น ๗ และเป็น ๑๐ อย่างเดียว หรือสองอย่าง ก็ยังร้ายอยู่
(ข) ดังได้กล่าวแล้วว่ามุมจตุโกณ ถ้าบาปเคราะห์ตั้งอยู่เป็นจุดเบียนมาก ยิ่งตั้งอยู่ในภพที่ ๑๐ คือภพกัมมะอันเป็นภพที่ ดาวพระเคราะห์ลอยเหนือศีรษะขณะเวลาฤกษ์ ขอแนะให้หลีกเลี่ยงเสีย ขืนปล่อยฤกษ์แบบนี้ออกไปก็เท่ากับให้ร้ายกับผู้นำฤกษ์นั้นไปใช้นั่นเอง
(ค) อย่าให้บาปเคราะห์ โยคหน้า หรือโยคหลัง ลัคนาดวงฤกษ์ ยิ่งโยคครบทั้งสองจุดด้วยแล้วก็ยิ่งร้ายหนัก
(ง) อย่าให้บาปเคราะห์ ตั้งอยู่ในมุม ตรีโกณกับลัคนาดวงฤกษ์ ยิ่งครบสามมุม คือมีบาปเคราะห์กุมลัคนาอยู่ด้วยแล้วจัดว่าเป็นฤกษ์ร้าย
๓. ดาว อริ มรณะ และวินาศนะ ของ ดวงฤกษ์ ไม่ควรให้มากุมลัคนาดวงฤกษ์ หรือ อยู่ในภพที่สิบ (กัมมะ) ของดวงฤกษ์ด้วยจะทำให้เกิดผลร้าย ดังนี้
(ก) ดาวอริ จะทำให้เกิดอุปสรรค
(ข) ดาวมรณะ จะทำให้เจ็บไข้ พลัดพรากจากกัน
(ค) ดาววินาศนะ ไม่ยั่งยืน
๔. อย่าให้ ลัคนา ดวงฤกษ์ ไปตั้งอยู่ในราศีเดียวกับที่ดาวมรณะของเจ้าการเป็นอันขาด จะทำให้ฤกษ์ไร้ผล
๕. มุมร้ายแรง นอกจาก ที่พรรณาในข้อสองแล้วนั้น ยังมีอีกสองมุม คือ
(ก) บาปเคราะห์ กุมลัคนาฤกษ์โดยมีบาปเคราะห์ไปตั้งอยู่ในภพที่ ๖ และ ๘ กับลัคนาของดวงฤกษ์ เรียกว่ามุมปลายหอกให้โทษร้ายแรงยิ่งนัก ควรเลี่ยง
(ข) บาปเคราะห์ อยู่ขนาบหน้า หลัง ลัคนาฤกษ์ คือเป็น ๒ และเป็น ๑๒ เรียกว่าถูกบาปเคราะห์บีบ เป็นการเข้าจุดอับ ทำการใด ๆ ไม่เป็นผล
(ค) บาปเคราะห์ ขนาบหน้า หลังลัคนา แล้วยังมีบาปเคราะห์เล็งอีกดวงหนึ่ง ร้ายนัก อย่าให้ฤกษ์เช่นนี้ เดือดร้อนเหลือประมาณ
๖. ขณะที่ดาวบาปเคราะห์กำลังโคจร ติดต่อกัน ๓,๔,๕ ราศี เช่นนี้ อย่าได้วางลัคนาดวงฤกษ์ลงไปในขบวนดาวร้าย เช่นนี้ เป็นอันขาดด้วยเป็นจุดอันตราย จะเกิดผลร้ายในอนาคต
๗. ตนุลัคน์ ของดวงฤกษ์ มีความสำคัญมาก ถ้าจะวางลัคนาลงในราศีใด ต้องตรวจดูเสียก่อนว่า ดาวเกษตร หรือ เจ้าของราศีนั้น ไปตั้งอยู่ในจุดอันตรายหรือเปล่า เช่น
(ก) ถูกบาปเคราะห์ บีบหน้าหลัง
(ข) ถูกบาปเคราะห์ กุม หรือเล็ง
(ค) ถูกบาปเคราะห์ จตุโกณ หรือตรีโกณ หรือ โยค ครบทุกมุม
(ง) กุม ดาว อริ หรือ มรณะ หรือ วินาศนะ
ถ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าดวงฤกษ์ของท่าน เป็นดวงให้โทษควรหลีกเลี่ยง
(กฎเกณฑ์นี้ ใช้กับดาวเกษตรใหม่โดยเฉพาะ เกษตรใหม่คือ อาทิตย์อยู่สิงห์, พุธกันย์, ศุกร์ตุลย์, อังคารพิจิก, พฤหัสบดีธนุ, เสาร์มังกร, มฤตยูกุมภ์, เนปจูนมีน, พลูโตเมษ, ราหูพฤษภ และเกตุเมถุน)
๘. ต้องดูว่าฤกษ์ เป็นธาตุุอะไร ก็จะต้องวางลัคนาให้ถูกกับราศีธาตุุนั้น เช่นฤกษ์เปิดร้านขายเครื่องก่อสร้าง อันเป็นธาตุุดินก็วางลัคนาราศีธาตุุดินจะเหมาะสมกันมาก หากไปวางลัคนาในราศีธาตุุน้ำจะทำให้เกิดการเสียหายได้
ฤกษ์เปิดร้านขายเครื่องสำอางค์ อันเป็นธาตุุลม ก็ต้องวางลัคนาในราศีธาตุุลม จึงจะเหมาะ
ร้านขายน้ำมันเบนซิน อย่าไปวางลัคนาราศีธาตุุไฟ ดังนี้เป็นต้น
๙. ดาวเจ้าการของฤกษ์มีความสำคัญมาก จะขอ พรรณาเป็นสังเขป ดังนี้
ดาวอาทิตย์ หมายถึง ความมั่นคง จะปลูกบ้าน แต่งงาน เปิดห้าง ธนาคาร วางหลักเมือง ยกเสาเอก ฯลฯ จะต้องประคองดาวอาทิตย์ให้เด่น อย่าให้ไปอยู่ในภพทุสถานะแก่ลัคนาดวงฤกษ์เป็นอันขาด
ถ้าขณะนั้น ดาวอาทิตย์กำลังโคจรอยู่ในกลุ่มดาวบาปเคราะห์หรือกำลังโคจร เป็นประ เป็นนิจ ก็ควรรอให้ดาวอาทิตย์เดินดีเสียก่อนจึงให้ฤกษ์จะเป็นการถูกต้อง
ดาวจันทร์ หมายถึง เสน่ห์ ความนิยม สตรีเพศ เมตตา มหานิยม การวางฤกษ์ร้านค้าเครื่องสำอางค์ ร้านตัดเสือสตรี การสมาคม ฯลฯ จะต้องประคองดาวจันทร์ให้เด่น อย่าให้ไปอยู่ในจุดด้อยหรือจุดอับ
ดาวศุกร์ หมายถึง ความรัก การแต่งงาน แสดงแฟชั่น แสดงภาพยนตร์ ทีวี และแสดงงานศิลปกรรม ดวงฤกษ์สำหรับการต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วนั้น จะต้องประคองดาวศุกร์ให้เด่น และมีความสำคัญในดวงฤกษ์ ห้ามวางไว้ในภพทุสถานะ เป็น ๖, ๘, ๑๒ แก่ดวงฤกษ์)
ดาวมฤตยู หมายถึง การเดินทาง การเสี่ยงโชค การปฏิวัติรัฐประหาร การค้นคว้า การออกสำรวจ ยานพาหะนะ ถ้าให้ฤกษ์เกี่ยวกับกิจการชนิดนี้จะต้องเชิดชูดาวมฤตยูไว้ ในที่อันเด่น ยิ่งดีเด่นเท่าไร (หมายถึง คอยให้มีดาวศุภเคราะห์ สัมพันธ์ ถึงมาก ๆ) ก็จะยิ่งทำให้กิจการนั้น ๆ ประสบความสำเร็จ ความมั่นคงยิ่งขึ้น
ดาวราหู หมายถึง ของมัวเมา ผิดกฏหมาย ของหนีภาษี เป็นเจ้าการสำหรับการนี้ ควรให้มีความสัมพันธ์ กับดาวตนุลัคน์ของดวงฤกษ์ไว้ จึงจะดี
แต่ก็ควรระวังด้วยราหูเป็นบาปเคราะห์ การจะตั้งราหูไว้ในมุมอันเบียนลัคนาก็จะเกิดโทษด้วย (ดูกฎเกณฑ์ข้อ ๒)
ดาวอังคาร หมายถึง อาวุธ การต่อสู้ ทหาร ตำรวจ
ฤกษ์เปิดสถานีตำรวจ, โรงอาหาร, โรงสรรพวุธ, ร้านขายอาวุธ หรือกิจการเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ จะต้องประคองดาวอังคารไว้ให้เด่นเสมอจึงจะเจริญดี
ดาวพุธ หมายถึง หนังสือพิมพ์, หนังสือ, ร้านขายหนังสือ, การเซ็นสัญญา, การเจรจา, โฆษก, การโฆษณา, การติดต่อ การวาฤกษ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ดาวพุธจะมีบทบาทรุนแรงและจะต้องเด่น ยิ่งเด่นเท่าไรความสำเร็จ ความดีเด่นจะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ดาวพฤหัสบดี หมายถึง การศึกษา, การเริ่มเรียนวิชาการต่าง ๆ, โรงเรียน, ธนาคาร, ร้านขายอุปกรณ์การสอบ, องค์การการกุศล, สถานสาธารณะ, การประชุมใหญ่, วัด, และสถานที่ทำงานรัฐบาล ดาวพฤหัสบดีจะมีบทบาทในการนี้โดยตรง
ดาวเสาร์ หมายถึงโรงงาน, โกดังสินค้า, โรงงานอุตสาหกรรมหนัก, สมาคมกรรมกร, ร้านชำ, สมาคมฌาปนกิจ
ดาวเกตุ หมาถึง ของโบราณ, วัดวาอาราม, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, จิตศาสตร์, สถานที่อันปกปิดเร้นลับ, วิทยากล สิ่งแปลก ๆ, สถานที่คนพิการ, คนแก่
ดาวเนปจูน หมายถึง ทหารเรือ, ท่าเรือ, เรือ, สัทธิสังคมนิยม, งานมหาสมาคม, โรงภาพยนตร์, หอประชุม, ศาลาการเปรียญ, แพทย์แผนโบราณ, ไสยศาสตร์, สมุนไพร, น้ำมันเชื้อเพลิง, โรงกลั่นน้ำมัน, สถานที่ใกล้น้ำ
ดาวพลูโต หมายถึง แพทย์ คลินิก, โรงพยาบาล สถานวิปัสสนา, สำนักสงฆ์ วัด, โหราศาสตร์ การพยากรณ์ ร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์, ธนาคาร, การคลัง, เหมืองแร่, โบราณคดี, โบราณวัตถุสถาน, พิพิธภัณฑ์สถาน
๑๐. จากกฎเกณฑ์ข้อ ๖ เราจะนำไปปรับเช้ากับฤกษ์อันเป็นเจ้าการต่าง ๆ อันมี ๙ หมวดดังนี้
ดาวอาทิตย์ คือ ราชาฤกษ์ ธาตุุ ไฟ
ดาวจันทร์ ² เทวีฤกษ์ ² น้ำ
ดาวอังคาร ² เพชฌฆาตฤกษ์ ² น้ำ
ดาวพุธ ² ภูมิปาโลฤกษ์ ² ดิน
ดาวพฤหัสบดี ² มหัทโนฤกษ์ ² ไฟ
ดาวศุกร์ ² เทศาตรีฤกษ์ ² ลม
ดาวเสาร์ ² ทลิทโทฤกษ์ ² ดิน
ดาวมฤตยู ² โจโรฤกษ์ ² ลม
ดาวเนปจูน ² เทวีฤกษ์ ² น้ำ
ดาวพลูโต ² สมโณฤกษ์ ² ไฟ
ที่จริงดาวพระเคราะห์ในสุริยะระบบ คือ อาทิตย์ และบริวารมีรวมกันเป็นเพียง ๙ ดวงเท่านั้น จึงเข้าครองฤกษ์ทั้ง ๙ หมวดจนครบ ส่วนจันทร์มิใช่ดาวพระเคราะห์ หากเป็นเพียงบริวารของโลก ซึ่งเป็นดาวพระเคราะห์ จันทร์จึงเป็นเพียงตัวแทนของดาวพระเคราะห์ โลกเท่านั้น จัดให้ครองหมวดเทวีฤกษ์ คู่กับเนปจูน ส่วนดาวอาทิตย์นั้นเป็นธาตุุไฟโดยกำเนิด และเป็นประธานของดาวพระเคราะห์ทั้งมวล จึงน่าจะแยกออกมาต่างหาก แต่อาทิตย์เป็นพระราชาจึงเหมาะสมในการเป็นราชาฤกษ์อันเป็นฤกษ์ใหญ่กว่าฤกษ์ทั้งปวง จึงทำให้ฤกษ์ธาตุุไฟมีถึงสามมากกว่าหมวดอื่นทั้งหมด ถ้าจะจัดหมวดฤกษ์ตามลำดับ และเพศของดาวพระเคราะห์กับสภาพบวกและลบแล้วจะเป็นไปในรูปดังนี้
หมวดฤกษ์
|
ดาวพระเคราะห์
|
ธาตุุ
|
สภาพบวกและลบ
|
เพศ
|
ทลิทโท
|
เสาร์
|
ดิน
|
+
|
ชาย
|
มหัทธโน
|
พฤหัสบดี
|
ไฟ
|
+
|
ชาย
|
โจโร
|
มฤตยู
|
ลม
|
-
|
หญิง
|
ภูมิปาโล
|
พุธ
|
ดิน
|
+
|
ชาย
|
เทศาตรี
|
ศุกร์
|
ลม
|
-
|
หญิง
|
เทวี
|
เนปจูน
|
น้ำ
|
-
|
หญิง
|
เพชฌฆาต
|
อังคาร
|
น้ำ
|
-
|
หญิง
|
ราชา
สมโณ
|
พลูโต
อาทิตย์
|
ไฟ
ไฟ
|
+
+
|
ชาย
ชาย
|
กล่าวง่ายๆ ก็คือธาตุไฟกับดินเป็นเพศชายฝ่ายบวก ส่วนธาตุน้ำกลับลมเป็นเพศหญิงฝ่ายลม
ส่วน
ราหูกับเกตุเป็นจุดคำนวณ ในการเกิดคราสไม่ใช่ดาวจึงไม่มีสิทธิครองฤกษ์
แต่อนุโลมให้ราหูครองราศีพฤษภธาตุดินเพศชาย
และเกตุครองราศีเมถุนธาตุลมเพศหญิงไปก่อน
จนกว่าจะมีการค้นพบดาวพระเคราะห์วงนอกถัดจากดาวพลูโตออกไป
จึงจะได้นำมาครองราศีถัดไปคือพฤษภและเมถุนตามลำดับ
การจัดธาตุของดาวพระเคราะห์ ได้จัดตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ดาวใดเป็นเกษตรราศีธาตุใดก็จะเป็นธาตุนั้น และเป็นพระเคราะห์เรือนเดียวบริสุทธิ์โดยแท้ดังนี้
ดังนี้จึงเห็นได้ว่าหมวดฤกษ์ที่เป็นธาตุเดียวกันย่อมจะเข้ากันได้ดังนี้
ธาตุไฟ สมโณฤกษ์, ราชาฤกษ์, มหัทธโณฤกษ์ (เพศชาย ฝ่ายบวก)
ธาตุดิน ทริทโธฤกษ์, ภูมิปาโลฤกษ์ (เพศชาย ฝ่ายบวก)
ธาตุลม เทศาตรีฤกษ์, โจโรฤกษ์ (เพศหญิง ฝ่ายลบ)
ธาตุน้ำ เพชฌฆาตฤกษ์, เทวีฤกษ์ (เพศหญิง ฝ่ายลบ)
ตามทฤษฎีของดาวพระเคราะห์เป็นเกษตรครองเรือนเดียวเช่นนี้ ตรงตามหลักการ ดาราศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
ในการหาฤกษ์ ถ้าฤกษ์ต้องประสงค์ยังไม่ได้จังหวะแต่จำเป็นจะต้องการฤกษ์โดยด่วน ก็ย่อมจะเอาฤกษ์ประเภทธาตุเดียวกันมาทดแทนกันได้ หรือจำเป็นที่สุดก็เพศเดียวกันแทนกันได้
๑๑. จากกฎเกณฑ์ข้อ ๑๐ ที่ผ่านมา เมื่อเราได้ทราบถึงเพศและสภาพบากและลบของหมวดฤกษ์แล้ว ก็อาจจะทดแทนกันได้ถ้าเกิดความจำเป็นดังนี้ เช่น
ฤกษ์เปิดธนาคาร เป็นที่สังเกตว่า ลักษณะของธนาคารคือ การนำเงินเข้ามาฝากธนาคาร มาเก็บสะสมไว้เป็นลักษณะอาการบวก โดยกฎเกณฑ์แล้วเราจะต้องใช้มหัทธโนฤกษ์ แต่เนื่องจากความจำเป็นจะรอช้ามิได้เราก็จะต้องนำฤกษ์ธาตุไฟด้วยกันมาทดแทน คือ ราชาฤกษ์และสมโณฤกษ์ ซึ่งล้วนเป็นฤกษ์ฝ่ายบวกด้วยกันทั้งสิ้น
และห้ามนำฤกษ์ฝ่ายลบ มาใช้ในกิจการธนาคารเป็นอันขาดด้วย ลักษณะลบไม่ต้องโฉลกกับกิจการธนาคาร
เป็นที่น่าประหลาดว่า ในลัทธิตันตระ หรือรหัสวิทยาถือว่าธาตุไฟคือความร่ำรวย และทรัพย์สมบัติ มีในคัมภีร์ต่างๆ ทุกชาติทุกศาสนา เช่นวันดีคืนดีตรงที่ใดมีทรัพย์สมบัติฝังอยู่ มักจะมีสัญลักษณ์ของไฟลุกขึ้นตรงบริเวณนั้น
ดังนั้น ในการดูดวงชาตาของบุคคล ให้พึงสังเกตุว่าบุคคลใดจะเก็บทรัพย์อยู่ จะร่ำรวย มักมีดาวธาตุไฟเด่น หรือดาวอาทิตย์, พฤหัสบดีกับพลูโตอยู่ในตำแหน่งที่ดี หรือได้รับโยคเกณฑ์ที่ดี
ฤกษ์การยกทัพ การออกสำรวจ การค้นคว้า การจู่โจม อันเป็นลักษณธการเคลื่อนออก การกระจายตัว จัดเป็นฝ่ายลบ ส่วนใหญ่เรามักจะใช้ โจโรฤกษ์ ธาตุลมอันเป็นฤกษ์เหมาะสมที่สุด ในการเอารถออกจากอู่ การเดินทางไกล การปรับปรุงแก้ไข การปฏิวัติ จำเป็นจะต้องใช้ฤกษ์นี้ จึงจะสำเร็จ ตามลักษณะอาการลบ ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เวลากระทันหันจะรอโจโรฤกษ์มิได้ ก็ต้องใช้เทศาตรีฤกษ์แทน ด้วยเป็นธาตุลมเป็นฝ่ายลบเหมือนกัน
มีข้อคิดที่ควรจดจำก็คือ ห้ามใช้ฤกษ์ฝ่ายบวกเป็นอันขาด ด้วยเป็นอาการที่ไม่ต้องโฉลกกับกิจการที่กระทำเคยเห็นมามากผู้กระทำการปฏิวัติล้มเหลว ก็เพราะไปใช้ฤกษ์บวก เช่น ราชาฤกษ์, มหัทธโมฤกษ์ หรือภูมิปาโลฤกษ์ จึงผิดพลาด และผิดหวังอย่างไม่เป็นท่า
นี่เป็นเคล็ดสำคัญ การหาฤกษ์หายาม จะต้องมีความรู้อย่างลึกซึ้ง จะต้องรู้วิธีการเรียนผูกและเรียนแก้กล่าวตามภาษาชาวบ้านก็คือ จะผู้กต้องใช้บวก จะแก้ต้องใช้ลบ ใครใช้ไม่เป็นอย่าได้ดำริไปให้ฤกษ์ยามในการใหญ่ๆ เป็นอันขาด จะพาให้ผู้อื่นฉิบหายวายป่วงไปหมด
การสงครามการทำลายล้าง ก็เหมือนกับเอาน้ำสาดไปยังกองดินหรือกองทรายให้ทะเลลงไปราบอย่างนั้นแหละบ่งถึงว่าเป็ฯสภาพลบ ตรงกับสภาพปรัชญาของฮินดูโบราณคือ
พระศิวะ หรือพระอิศวร ทรงสถิตบนยอดเขาไกรลาศ ผู้ผดุงรักษาโลก ผู้ให้ ท่านเป็นธาตุดินโดยสภาพธรรมชาติ และธาตุไฟเพราะมีฤทธิ์มาก มีตาที่สามเป็นไฟเผาผลาญใดๆ ได้
ส่วนพระวิษณุ หรือพระนารายณ์นั้น ปกติท่านประทับบรรทมบนขนดหลังพญานาควาสุกรี กลางมหาสมุทรที่เรียกว่าเกษียรสมุทร ท่านเป็นธาตุน้ำ เป็นฝ่ายทำลาย เมื่อใดที่เกิดยุคเข็ญขึ้นบนโลก ก็จะมีเทวดามาเป่าสังข์ปลุกให้ทรงตื่นบรรทม และอวตารลงไปทำลายล้างโลกอันวุ่นวายจนสงบราบคาบ พระองค์เป็นเจ้าแห่งการทำลายหรือการสงครามโดยแท้
เห็นได้ว่าธาตุน้ำเป็นธาตุการทำลายและการสงครามโดยตรง ในกิจการเกี่ยวกับทหารหรือตำรวจ จึงต้องใช้เพชฒฆาตฤกษ์ ธาตุน้ำ แต่ถ้ามีความจำเป็นอันรีบด่วนก็ใช้เทวีฤกษ์แทนได ด้วยเป็นธาตุน้ำเหมือนกัน
ดาวเนปจูนเจ้าสมุทร ครองหมวดเทวีฤกษ์ เทวีฤกษ์เป็นฤกษ์แห่งความสวยงาม ความลมุนละไม เป็นธาตุน้ำ ฝ่ายลบ และเป็นเพศหญิง แต่ตามทฤษฎีรหัสวิทยากล่าวว่า เพศหญิงนี้มีสองภาค อีกภาคหนึ่งเป็นภาคอันดุร้าย และเก่งกล้าโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก ดังเช่น
พระนางอุมาเทวีของพระอิศวร อีกภาคหนึ่งคือ พระนางกาลีที่ดุร้าย ร้ายกาจที่สุด ชอบการสังเวยโลหิตสดๆ ขอบในการฆ่า
พระนางจูโนในเทพนิยายของกรีก พระนางเธอเป็นชายาของเทพบิตรจูปิเตอร์ ซึ่งมีความงามเป็นเยี่ยมแต่พระนางมีความหึงหวงที่สุด ทรงติดตามพิฆาตศัตรู คือ ชายาลับของสามี อย่างโหดเหี้ยมที่สุด แม้พระสวามีเองก็ช่วยแก้ไขไม่ได้ ด้วยพระนางจูโนมีฤทธิ์และดุร้ายมาก
นั่นคือเทวนิยายที่เกิดจากศาสนาดึกดำบรรพ์ แต่ในสภาพของความเป็นจริงนั้น เราเคยมีมหาราชินีแห่งรัสเซีย และพระนางวิคทอเรียแห่งอังกฤษ
ไม่เคยมีสมัยใดในประวัติศาสตร์ทั้งสองชาติ ที่ประเทศของตนได้กลายเป็นมหาอำนาจน่าเกรงขาม และ
มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกรยิ่งไปกว่าในรัชสมัยของสองพระนางเป็นสมัยที่เต็มไป
ด้วยการแผ่อำนาจ การสงครามการนองเลือด
จนราชอาณาจักรของสองแผ่นดินแผ่ไปได้ไกลกว้างขวางที่สุดยิ่งกว่ากษัตริย์ใด
ได้เคยทำมา
นี่คืออำนาจอันร้ายกาจของนางพญา และนี่เองคือเทวีฤกษืที่มีฤทธิ์เดช อันมีดาวเนปจูนครองฤกษ์อยู่
ดังนี้ฤกษ์เกี่ยวกับทหาร ตำรวจ และผู้ถืออาวุธการประกาศสงคราม จึงมีฤกษ์ที่เหมาะสมอยู่สองฤกษ์คือเพชฌฆาตฤกษ์ และเทวีฤกษ์ อันเป็นธาตุน้ำ และเพศหญิงทั้งคู่ ซึ่งเป็นฝ่ายลบ
๑๒. ยังมีราหูกับเกตุอีกสองดาว แม้จะมิใช่ดาวพระเคราะห์แต่ก็มีพลังอำนาจมาก จะพออนุโลมให้ครองหมวดฤกษ์อะไร ข้อนี้ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า
ราหูเป็นจุดคราส บังแสงสว่างของอาทิตย์ได้ เป็นธาตุดิน จึงควรครองหมวดภูมิปาโลฤกษ์ ขณะเดียวกับเกตุคราสน้อย ก็ครองหมวดโจโรฤกษ์ ธาตุลม ด้วยมิใช่จุดคราสโดยตรงแต่เป็นจุดสมมติ ซึ่งมีผลและทำให้จิตใจหวั่นไหวได้
คำถาม คำตอบเกี่ยวกับการให้ฤกษ์
๑. ถาม การให้ฤกษ์ ในสมัยก่อนท่านเคร่งครัดในเรื่องดิถีกับกฎเกณฑ์อื่นๆ อีกมาก ถ้าเราจะตัดกฎเกณฑ์ทิ้งไปเสียโดยเห็นว่าขณะนั้นดวงดาวกำลังเดินเข้าแง่มุมที่ดีซึ่งกันและกัน สมควรจะวางลัคนาให้เกิดประโยชน์ หรือว่าต้องรอดิถีกับกฎเกณฑ์อื่นๆ ให้ถูกต้องเสียก่อน
ตอบ ตามทรรศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า ประเภทของหมวดฤกษ์อันเหมาะแก่การทำการ กับโยคเกณฑ์ของดวงดาวมีความสำคัญกว่ากฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยนั้น ด้วยการดูดิถีก็ดี การเลือกวันก็ดี เป็นกฎเกณฑ์อันกว้างๆ สำหรับการให้ฤกษ์ โดยมิได้ใช้ดวงดาวเข้าประกอบ ถ้าจะให้ได้ผลดีทางดวงดาวแล้ว ก็ควรงดความเคร่งไนกฎเกณฑ์เสียบ้าง และต้องถือว่าจังหวะของดวงดาวสำคัญกว่า
๒. ถาม เรื่องการให้ฤกษ์นี้ โบราณท่านสาปแช่งไว้ในบางตำราที่มิได้เคร่งตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้
ตอบ ท่านสาปแช่งไว้ ก็ด้วยเหตุว่า การให้ฤกษ์นั้นเป็นศิลปสูงสุดในวิชาโหราศาสตร์ ผู้ให้ฤกษ์ยามจะทำชุ่ยๆ ส่งเดชมิได้ จะต้องทำจิตใจให้สูง และปรารถนาดีแก่ผู้จะทำการ แต่เมื่อผู้ให้ฤกษ์ได้รู้ซึ้งในวิชาการดีพอรู้ถึงน้ำหนักคุและโทษ โดยปรารถนาจะให้เกิดโทษน้อยที่สุด ไม่ประสงค์จะทำให้ผู้ใช้ฤกษ์เดือดร้อน วิธีนี้แม้จะฝืนตำราก็ไม่เกิดโทษแต่อย่างไร เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆ ย่อมมีข้อยกเว้นโดยเห็นความจำเป็นที่มีคุณค่าสูงกว่าเข้ามาทดแทนกัน
๓. ถาม ผู้ที่ยังไม่จัดเจนทางโหราศาสตร์ดีพอ พอจะหาฤกษ์ได้ไหม
ตอบ ก็ควรให้ฤกษ์ไปตามความรู้ และกฎเกณฑ์ของตำราที่รู้มา ย่อมเกิดผลร้ายน้อยกว่าการทำการใดไปโดยส่งเดช แต่ในฤกษ์สำคัญ เช่นฤกษ์มงคลต่างๆ หรือฤกษ์ระดับสำคัญที่ต้องเสี่ยงเกี่ยวกับความเป็นความตายของผู้คนแล้ว ถ้ารู้ไม่พอ ไม่ควรให้ฤกษ์เป็นอันขาด เพราะฤกษ์ระดับชาติเช่นนั้น ผู้วางฤกษ์จะต้องรู้ลึกซึ้ง และศึกษาคัมภีร์มากมายหลายปกรณ์ และต้องเจนจบในอาถรรพณ์ศาสตร์อีกด้วย
๔ ถาม ระชาฤกษ์ เทวีฤกษ์ และภูมิปาโลฤกษ์สามหมวดฤกษ์นี้ เคยมีผู้กล่าวว่าใช้ได้ในกิจการมงคลทุกรกรณีย์ อยากทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร
ตอบ ข้อเท็จจริงก็คือ สามหมวดฤกษ์นี้จะใช้ในงานมงคลไม่ได้ทุกข์กรณีย์ ความเป็นจริงก็คือ ไม่ว่าฤกษ์จะสูงปานใดถ้าใช้ผิดประเภท กลับให้ผลร้ายแรงยิ่งนัก
เช่นเอาราชาฤกษ์ไปเปิดร้านชำเล็กๆ มีผลถึงแก่ฉิบหายขายตน บางคนเอาฤกษ์นี้ไปเปิดไนท์คลับ ตามความจริงที่ได้เห็นมาปรากฏว่า ไนท์คลับนั้นภายหลังไฟไหม้ และเจ้าของต้องล้มละลายไปในที่สุด
การใช้ฤกษ์ถูกประเภท เป็นศิลปอันสูงส่ง และสำคัญมาก และในทางตรงกันข้ามกับคำถามที่ถามมา ผู้ที่ชำนาญการให้ฤกษ์ เขาจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้สามฤก์นั้นในงานมงคล เว้นเสียแต่ว่าจะจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ส่วนกฎเกณฑ์ในการเลือกฤกษ์นั้น ได้พรรณาอย่างละเอียดไว้แล้วข้างต้น
๕. ถาม การให้ฤกษ์จำเป็นจะต้องดูดวงชาตาของผู้มาขอฤกษ์เสียก่อน จริงไหม
ตอบ ถูกต้อง เราจะต้องดูดวงชาตาของผู้ทำการว่าเขามีเกณฑ์นั้นๆ หรือเปล่า เช่น แต่งงาน, ขึ้นบ้านใหม่, ปลูกบ้าน หรือหมั้นหมาย ถ้าดวงชาตาของเขามีเกณฑ์ดีสอดคล้องกับการขอฤกษ์ยาม ก็จะต้องวางฤกษ์ให้มีดวงดาวส่งเสริมให้เขาทำการสำเร็จด้วย เพราะถ้าไม่ สอดคล้อง บางทีอาจจะมีอุปสรรคมาขัดขวางได้
เช่นฤกษ์เดินทาง ถ้าเกณฑ์ดวงของเขาไม่มีการเดินทาง ให้ฤกษ์ไปก็เป็นหมัน เป็นการเปล่าประโยชน์
๖. ถาม การให้ฤกษ์ ต้องดูวาสนาของบุคคลจริงไหม
ตอบ ถูกแล้ว
๗. ถาม ในดวงของบุคคล ซึ่งมองเห็นแล้วว่าทำการปฏิวัติไม่สำเร็จ แต่เราจะช่วยด้วยวิธีการให้ฤกษ์จะสำเร็จไหม
ตอบ ไม่สำเร็จ ดังได้ย้ำแล้วว่าต้องดูวาสนาของคน
๘. ถาม บุคคลผู้หนึ่งต้องการฤกษ์ เพื่อร่วมหุ้นส่วนกันตั้งร้านค้า หรือกิจกรรมต่างๆ แต่ถ้าในดวงของเขาบ่งว่าไม่ได้รับความสำเร็จทางการงานในปีนั้น สมควรจะให้ฤกษ์ไปไหม
ตอบ ไม่สมควรให้ฤกษ์ เพราะฤกษ์จะฝืนอำนาจฟ้าดินไม่ได้ ฤกษ์เป็นเพียงเครื่องช่วย หรืออุปการะเท่านั้น
๙. ถาม การวางลัคนาฤกษ์ ต้องวางอย่าให้ตรงกับนวางค์ร้ายหรือตรียางค์ลูกพิษ หรือนวางค์กับตรียางค์ อริ, มรณะ และวินาศนะ ใช่ไหม
ตอบ ถูกแล้ว ข้อนี้เป็นกฎเกณฑ์สำคัญของคนโบราณ จะต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด
๑๐. ถาม บางคนไม่ถือฤกษ์ยาม ดังเช่นท่านผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งสั่งเปิดรัฐสภาที่สั่งขึ้นเสร็จใหม่ๆ โดยไม่เอาฤกษ์ยามเลย โดยให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญหลายต่อหลายฉบับล้วนแต่ให้ฤกษ์อย่างวิเศษกันทั้งนั้น แต่ก็ต้องถูกลบล้างไปหมด ข้อนี้ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร
ตอบ นั่นเป็นการกระทำโง่ๆ ทุกชาติทุกภาษาเขาทำงานใหญ่ก็ต้องมีฤกษ์ยามกันทั้งนั้น ผลก็เห็นกันอยู่แล้วว่ารัฐสภาวุ่นวายปานใด รัฐบาลก็อยู่ไม่ยืดเยื้อเหมือนเดิม อีกประการหนึ่งที่กล่าวว่ารัฐธรรมนูญมีการให้ฤกษ์แต่ละครั้ง ข้อนี้ก็ต้องพิจารณากันก่อนว่าฤาษ์นั้นดีเพียงไรมิใช่ว่าผู้ให้ฤกษ์เป็นคนมีชื่อเสียงแล้วฤกษ์จะดีวิเศษเสมอไป จะต้องเอากฎเกณฑ์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเข้าตรวจ
ข้อสำคัญมันเกี่ยวกับอำนาจของดวงดาว กล่าวคือในช่วงปีนั้นๆ บังเอิญดาบาปเคราะห์เกิดเล็งกันหรือกุมกันหรือทามุมจตุโกณต่อกัน หรือ เดินแถวเรียงกันหลายราศี ถ้าดาวโคจรในรูปเช่นนี้แม้ว่าจะมีการให้ฤกษ์ดีก็ดีไม่ตลอด ด้วยแง่มุมของดวงดาวอันเกิดโทษนั้นๆ มีส่วนบั่นทอนและโทษ
๑๒. ถาม ฤกษ์ทำการของบุคคล จำเป็นต้องรอดาวบ้างไหม
ตอบ จำเป็นมาก เช่นดาวศุกร์เป็นดาวเจ้าการของความรัก การแต่งงาน ถ้าขณะนั้นดาวศุกร์กำลังเดินกุมกับดาวเสาร์คู่ศัตรู หรือเดินเล็งกับดาวเสาร์อยู่ ขืนให้ฤกษ์ไปแม้ฤกษ์จะดีก็ไม่วายจะเกิดการหย่าร้าง หรือเกิดอาเพทในภายหลัง ด้วยดาวเจ้าการถูกเบียนอย่างรุนแรงถึงปานนั้นจะส่งคุณประโยชน์อันยั่งยืนได้อย่างไรกัน โหรที่ฉลาดจะต้องรอดาวศุกร์ให้เดินพ้นจุดเสียหายนั้นและจะไม่ยอมให้ฤกษ์แต่งงานหรือการสู่ขอหมั้นหมายกันอย่างเด็ดขาด
๑๓. ถาม ดาวบางคู่จะอยู่ในจุดตรึงกันเกินกว่าสองปีขึ้นไปหรือมากกว่านั้น เช่น เสาร์กุมมฤตยูหรือเล็งดาวเนปจูน แบบนี้ถ้าจะรอให้ฤกษ์ดีจริงๆ ก็ต้องรอกันนานมาก และความจำเป็นที่จะต้องทำการรอช้าไม่ได้ แบบนี้ก็จำเป็นต้องให้ฤกษ์ไป ดาวเช่นนี้มีส่วนเบียนดาวฤกษ์ใช่ไหม
ตอบ เป็นของน่นอน และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย ผู้ให้ฤกษ์จะต้องใช้ศิลปะอันมีชั้นเชิงอย่างสูงเพื่อให้เกิดโทษน้อยที่สุด
ดวงดาวอันตรึงกันเช่นนี้ถือว่าเป็นกรรมร่วม ซึ่งทุกดวงชาตาในโลกจำต้องรับกรรมร่วมกัน ฤกษ์ใดๆ ที่กำหนดขึ้นมาในระยะปีวันวิกฤตดังกล่าวก็ต้องรับผลร้ายไปโดยทั่วหน้า จะมากหรือน้อยแค่ไหนแล้วแต่ชั้นเชิงของผู้ให้ฤกษ์ ถ้า
ผู้ที่ไม่เจนสังเวียนดีพอในการวางฤกษ์
บางที่ก็กำหนดฤกษ์ให้เข้าไปอยู่ในแนวพิษร้ายของดาวคู่นั้นๆ
อย่างเต็มที่ก็ได้ซึ่งเคยผ่านตาอยู่บ่อยๆ แบบนี้ไม่ให้ฤกษ์เสียเลยจะดีกว่า
๑๔. ถาม ส่วนใหญ่มักจะให้ฤกษ์กันในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนจะทำได้ไหม
ตอบ เพราะว่า กลางวันเป็นเวลที่สะดวกของมนุษย์ กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนหรือนอนหลับไม่นิยมทำการใดๆ กัน จะปลูกบ้านก็ไม่สะดวก จะทำอะไรก็ขลุกขลักไปทั้งนั้น ที่จริงจะให้ฤกษ์กลางคืนก็ได้ ถ้าหากสะดวกและสิ่งแวดล้อมอำนวยให้ เช่นการย้ายบ้าน การเดินทาง การเจรจา แต่ก็ต้องดูกาละเทศะเหมือนกัน เช่น ให้ฤกษ์เปิดร้านในเวลาดึก อย่างนี้เรียกว่าผิดโฉลก หรือขึ้นบ้านใหม่เวลาใกล้ค่ำ นั่นเขาถือกัน เพราะการขึ้นบ้านใหม่หมายถึงการเริ่มชีวิตใหม่อันแจ่มใส ถ้าไปขึ้นบ้านเอาในเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน หรือเวลโพล้เพล้ตะวันลับโลกไปแล้ว มันหมายถึงการดับสูญ เขาไม่นิยมกัน
เวลาพระอาทิตย์ตกดินเช่นนี้ โบราณนิยมในการสะเดาะเคราะห์ คือเอาตุ๊กตาเสียกระบาลไปตั้งไว้ตรงทางสามแพร่งพร้อมกับเครื่องบัตรพรีเทวดา แล้วต่อยตุ๊กตาให้ขาดไปเป็นการแสดงว่าตุ๊กตารับเคราะห์แทนตัวเขาไปแล้ว พิธีนี้เลียนแบบมาจากการตัดหัวคนโทษสมัยโบราณเขาจะทำในเวลาอาทิตย์กำลังตกดิน ตรงทางสามแพร่ง จัดเป็นตะแลงแกง เมื่อฆ่าให้ตายแล้วก็ถือว่าเป็นการสาปแช่งให้ผู้นั้นลับไป อย่าให้ผุดเกิดขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์จะได้ไม่มาทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอีกต่อไป
๑๕. ถาม ฤกษ์ที่สมควรอย่างยิ่ง เหมาะในการทำเวลากลางคืนมีอะไรบ้าง
ตอบ คือฤกษ์พุทธาภิเษก ฤกษ์ทำขวัญ สู่ขวัญฤกษ์การเรียนคาถาอาคม การฝึกสมถกัมมัฏฐาน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความสงัดเงียบเป็นการเหมาะอย่างยิ่ง
ฤกษ์การปลุกเศกเครื่องรางของขลังก็เหมาะ จะทำในตอนกลางคืนด้วยความสงบจะทำให้เสมาธิกล้าแข็งขึ้นพวกกระเหรี่ยงจะนิยมปลุกเศกของขลังกับเขี้ยวงา ของเขาในวันแรม ๑๕ ค่ำหรือวันดับ และกระทำกันในตอนใกล้เที่ยงคืน ถือกันว่ามีประสิทธิ์วิเศษยิ่งนัก
๑๖ ถาม สมัยโบราณรู้สึกว่าจะมีฤกษ์หยุมหยิมมาก เช่นฤกษ์ทำลานข้าว เอาข้าเข้ายุ้ง ทำขวัญข้าว หว่านข้าว ปลูกต้นไม้ ฤกษ์อาข้าวขึ้นลาน ฯลฯ สมัยนี้จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นด้วยไหม
ตอบ สมัยนี้การเพาะปลูกไม่ว่าสวน หรือนา ดูเหมือนจะมีฤกษ์มียามกันเสียแล้ว ถือกันว่าไม่จำเป็น สมัยก่อนนั้นเขาร่วมใจร่วมแรงกันทำเรียกว่าลงแขก คนหมู่มากเช่นนั้นถ้าจะให้เรียบร้อยก็จำเป็นต้องมีฤกษ์ยามจึงจะดีและถือว่าเป็นการนัดหมายกันแน่นอนด้วย สมัยนั้นเขาไม่มียาฆ่าแมลงและยากำจัดศัตรูพืช ก็ต้องมีฤกษ์ยามมิให้มีศัตรูพืชทำลายได้
๑๗. ถาม สมัยก่อนดูจะคลั่งเรื่องฤกษ์ตั้งแต่เกิดมาจนตาย ทำอะไรต้องมีฤกษ์ยามตลอดเวลา เช่น เอา ทารกขึ้นอู่ (เปล) ทำขวัญเดือน โกนจุก ฯลฯ สมัยนี้ไม่ทำกันก็ไม่เป็นไร
ตอบ ก็อย่างว่า จะเอาสังคมสมัยก่อนมาเทียบกับสมัยนี้น่าจะลำบาก คนสมัยโน้น ไม่มีโรงหนัง ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีบาร์ และที่หย่อนใจอันมากมาย เขาอยู่กันเป็นหมู่บ้าน มีพิธีที่ไหนสักทีก็ไม่ชุมนุมกันไปพบปะสนทนารื่นเริงกัน ฤกษ์ยามก็จำต้องมีมากจะได้มีเวลาพบปะกันบ่อยๆ เรื่องฤกษ์กับสังคมจึงต้องเข้าไปผูกพันกันอย่างแนบแน่นด้วยประการนี้
๑๘. ถาม สมัยก่อนมีคัมภีร์สีติฤกษ์ มีการคำนวณวางกฎเกณฑ์ฤกษ์มากมาย มีฤกษ์เข้า ฤกษ์ออก เกณฑ์จักขุมายา ฤกษ์กนกบัญชร มีปกรณ์เกี่ยวกับฤกษ์มากมาย ตำราโน้นขัดกับตำรานี้ยุ่งไปหมด ถ้าถือเคร่งจะหาฤกษ์ไม่ได้เลย ควรจะทำอย่างไร
ตอบ ก็อย่างว่า เกจิอาจารย์มีมาก ตำรามันก็มากเรียนกันไปไม่ได้ดูเหตุผลทั้งยังไม่มีการสังคายนาตำรากันเสียเลย มันจึงมีกระพื้มากกว่าแก่น ใครเชื่อถือก็ยึดกันไปใครไม่เชื่อก็อย่ายึด เอาเพียงแต่รู้จักหมวดฤกษ์ และฤกษ์อันเหมาะแก่การก็น่าจะพอแล้ว ยิ่งไปยึดเรื่องดิถีอันมีตำราอีกมากมายก่ายกองไม่แพ้กันแล้วก็ยิ่งจะไปกันใหญ่ ยิ่งมีการขับฤกษ์ด้วยแล้วมันไม่ผิดอะไรกับการขับดวงชาตา กลายเป็นเรื่องยุ่งยากพอดีพอร้ายก็เสียคน ด้วยจับอะไรไม่ได้ผิดไปเสียหมด
๑๙. ถาม ไปค้นตำราของเก่า ไม่กล้าผู้ที่กอดแจอยู่กับตำราเขาด่าว่าหรือสาปแช่งเอาบ้างหรือ
ตอบ โดนมาแล้วไม่หวาดไหว และไม่กลัวคำสาปของผู้ที่มีโมหะจริต ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยล่วงเกินผู้ที่ยึดถือในตำรา เพียงแต่ว่าต่างคนต่างเดิน
๒๐. ถาม คุณเองก็เคยเขียนตำราฤกษ์ โดยเอาตำราเก่าๆ มาแจกแจงอย่างละเอียด
ตอบ นั่นเป็นเรื่องสมัยก่อนเมื่อครั้งยังยึดในตำราอยู่ ประสงค์จะรวบรวมตำราเก่ามาไว้ในที่เดียวกัน จะได้ค้นง่ายหาง่ายสะดวกแก่ผู้ค้นคว้า มีการแทรกความคิดเห็นลงไปบ้าง
แต่ตำราก็ยังคงเป็นตำรา ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละให้เป็นหลักฐานว่าคนสมัยก่อนเขามีวิธีการกันอย่างไร
แม้หนังสือการให้ฤกษ์ฉบับง่ายเล่มนี้ ประสงค์จะให้เป็นคู่มือในการให้ฤกษ์เล่มเล็กๆ ง่ายๆ ก็ยังรวบรวมของโบราณเอามาไว้ให้ปฏิบัติกันตั้งเยอะแยะ บางอย่างยังไม่มีเวลาพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผล ก็เลยลอกเอามาทั้งดุ้นอย่างนั้นแหละ
๒๑. ถาม ขอถามตรงๆ ว่าฤกษ์คืออะไร
ตอบ ฤกษ์คือการดูดวงดาวมาใช้พยากรณ์ ระบบเก่าแก่ที่สุดสมัยที่ใช้ระบบจันทรคติ มีกลุ่มดาวฤกษ์ ๒๗ กลุ่มด้วยกัน (ในตำราพุทธฝ่ายมหายานว่ามี ๒๘ กลุ่ม) โดยสังเกตุว่า ผู้เกิดมาขณะดวงจันทร์กำลังโคจรผ่านกลุ่มดาวนั้นๆ ชาตาชีวิตว่าเป็นอย่างไรก็จดจำบันทึกไว้ เมื่อได้สถิติแน่นอนแม่นยำ เห็นข้อแตกต่างกัน ๒๗ ประการก็เลยจัดออกเป็น ๙ หมวดด้วยกัน คือลักษณะใหญ่ๆ ที่คล้ายกันมีอยู่ ๙ กลุ่ม สมัย
ต่อมาเมื่อใช้ระบบสุริยคติคือดูดวงอาทิตย์โคจรผ่านกลุ่มดาวต่างๆ
โดยสังเกตุว่าอาทิตย์โคจรจะครบรอบจักรราศีใช้เวลา ๑ ปีเต็มๆ
จึงแบ่งกลุ่มดาวเสียใหม่เป็น ๑๒ กลุ่มทับลงไปบนเส้นทางเดิมอันมี ๒๗
กลุ่มนั้น อาทิตย์โคจร ๑ กลุ่มหรือเรียกว่าราศีละหนึ่งเดือน ต่อจากนั้นก็สังเกตุดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ ที่เคลื่อนที่ได้ มีการบันทึกจดจำเวลาการโคจร มีการคำนวณทำปฏิบทินขึ้น แม้จะมีการพยากรณ์ว่าบุคคลราศีนั้นๆ มีนิสัยชาตาเป็นเช่นนั้นๆ ก็ยังคงใช้จันทร์ดูฤกษ์ยามอยู่เช่นเดิม
๒๒. ถาม เพราะเหตุใดจึงต้องดูฤกษ์จากจันทร์อันเป็นระบบเก่าแก่ แทนที่จะดูจากดวงอาทิตย์
ตอบ เพราะว่าการดูจันทร์โคจรผ่านกลุ่มดาวฤกษ์มนุษย์ได้สังเกตุสังกาได้ผลแม่นยำมานานพันๆ ปีแล้วจึงทิ้งไม่ได้ อย่างไรก็ดี ตำรานี้ได้มีการวางลัคนาฤกษ์ตามธาตุของราศี และได้ปรับกลุ่มดาวฤกษ์มาเข้ากับสุริยคติอยู่แล้วจึงน่าจะเกิดผลอันควรพึงพอใจแก่ผู้สนใจทั่วไป