วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ศาสตร์ ยามอุบากอง

"สูญหนึ่ง อย่าพึ่งจร แม้นราญรอนจะอัปรา
สองสูญ เร่งยาตรา จะมีลาภสวัสดี
สี่สูญ พูลผล จรดลาภมากมี
ปลอดสูญ พูลสวัสดิ์ ภัยพิบัติลาภไม่มี
กากะบาต ตัวอัปรี แม้จรลีจะอัปรา"

ยามอุบากอง เป็นที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า ยามพม่าแหกคุก เป็นตำราดูฤกษ์ยามเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ว่ากันว่า เป็นยามที่เอาไว้ดูวัน เวลา ที่เหมาะสำหรับ การเดินทางไปแสวงหาโชคลาภ การเดินทาง ไปพบปะติดต่อเจรจา ค้าขาย หรือเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง

"อุบากอง เป็นนายทหารยศขุนพล" ได้คุมกำลังเข้าโจมตี เมืองเชียงใหม่ แต่อุบากองถูกฝ่ายไทยจับกุมตัวได้ พระบาท- สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงสั่งให้สอบสวนอุบากอง ปรากฏว่าอุบากองเป็นคนไทย เกิดในเมืองไทย มีพ่อเชื้อสายพม่า แม่เชื้อสายไทยแถบเมืองธนบุรี พระองค์จึงทรงพระเมตตา พระราชทานเสื้อผ้า และให้นำไปจำขังไว้ที่คุกวัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนฯ ในปัจจุบัน) ระหว่างที่อุบากองกับพวกถูกจองจำ คุมขังที่คุกวัดโพธิ์ ได้สอนตำรายันต์ยามยาตราให้กับ พรรคพวก เพื่อใช้แหกคุกที่คุมขังได้ เมื่อพรรคพวกเรียนยามยาตราได้แล้ว พอได้ฤกษ์งามยามดี จึงสามารถพากันแหกคุก วัดโพธิ์ หลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย โดยอุบากองกับพรรคพวกพากันหลบหนีไปยังเมืองพม่าได้บังเอิญมีนักโทษพม่า เชื้อสายไทยบางคน ไม่ได้หลบหนีไปด้วย จึงบอกเล่ากับผู้คุมนักโทษ ต่อมาจึงมีการนำมาเล่าเรียนกัน และให้ชื่อยามยาตรา นี้ว่า "ยามอุบากอง" ตามชื่อเจ้าของยามยาตรานั่นเอง อนึ่ง ยามดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้นับถือว่า แม่นยำ ได้ผลจริงๆ ด้วย จึงศึกษาเล่าเรียนสืบๆ กัน มาตราบเท่าทุกวันนี้





          คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเชื่อในเรื่องของศาสตร์พยากรณ์เป็นเรื่องที่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัย อดีตกาล ในสมัยก่อนไม่ว่าจะประกอบกิจการอะไร หรือลงมือจะทำสิ่งใด ก็ต้องดูฤกษ์ดูยาม เพื่อให้กิจการต่าง ๆ นั้น ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี ราบรื่น และเจริญก้าวหน้า หรือแม้กระทั่งแต่เรื่องเล็ก ๆ เช่นการสวมใส่เสื้อในวันต่าง ๆ บางคนก็ต้องยึดสี สีไหนในวันนี้ดี หรือวันนี้สีไหนจะเป็นกาลกิณี เป็นต้น

          เฉกเช่นการดูฤกษ์ยามที่กระปุกดอทคอมนำมาเสนอในวันนี้ เป็นการดูฤกษ์ยามสมัยโบราณที่เรียกว่า "ยามอุบากอง" ซึ่งใช้ดูเมื่อตอนเวลาเดินทาง, จะออกรถ, พบลูกค้า, นำเสนองาน, เข้าพบเจ้านาย, หรือทำการสำคัญต่าง ๆ ถ้า หากยึดเวลาตาม "ยามอุบากอง" ก็จะทำสิ่งนั้น ๆ ได้สำเร็จ และได้ผลดีตามที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเราด้วย

ยามอุบากองคืออะไร

          ยามอุบากอง หรือ ยามพม่าแหกคุก คือ การดูฤกษ์ยามชนิดหนึ่ง ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเชื่อกันว่า เป็นยามที่เอาไว้ดูวัน เวลา ที่เหมาะสมสำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง ซึ่งคนเฒ่าคนแก่ต่างยึดยามอุบากองในการใช้ชีวิตประจำวัน และเชื่อกันอย่างจริงจังเลยทีเดียว

วิธีดูยามอุบากอง มี 2 แบบ ดังนี้







แบบที่ 1 การดูยามอุบากอง "วัน+เวลา"

          แบบที่ 1 การดูยามอุบากอง "วัน+เวลา" ซึ่งตารางยามอุบากองชนิดนี้ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด โดยจะมีรูปแบบคือ วันทั้ง 7 (จันทร์ - อาทิตย์) และแบ่งช่วงเวลาเป็นกลางวัน 5 ยาม กลางคืน 5 ยาม ดังนี้

          กลางวัน

           เช้า   06.01 น. ถึง 08.24 น.
           สาย  08.25 น. ถึง 10.48 น.
           เที่ยง 10.49 น. ถึง 13.12 น.
           บ่าย  13.13 น. ถึง 15. 36 น.
           เย็น   15.37 น. ถึง 18.00 น.     
    
           กลางคืน   

           ยามที่ 1     18.01 น. ถึง 20.24 น.
           ยามที่ 2     20.25 น. ถึง 22.48 น.
           ยามที่ 3     22.49 น. ถึง 01.12 น.
           ยามที่ 4     01.13 น. ถึง 03.36 น.
           ยามที่ 5    03.37 น. ถึง 06.00 น.

โดยมีความหมายตามตารางดังนี้

                ศูนย์หนึ่งอย่าพึ่งจร     แม้ราญรอนจะอัปรา
           สองศูนย์เร่งยาตรา          จะมีลาภสวัสดี
           ปลอดศูนย์พูลสวัสดิ์         ภัยพิบัติลาภบ่มี
           กากบาทตัวอัปรีย์            แม้จรลีจะอัปรา
           สี่ศูนย์จะพูนผล              แม้จรดลดีหนักหนา
           มีลาภล้นคณนา              เร่งยาตราจะมีชัย

          สำหรับการดูยามตามแบบที่ 1 (วัน+เวลา) อย่างแรกเลยต้องดูที่วันที่ก่อนว่าวันที่เราต้องการดูคือวันอะไร โดยจะนับวันใหม่ของวันเมื่อเวลา 06.00 น. ตามการดูวันแบบโบราณ ซึ่งตรงนี้ที่แตกต่างจากยามปัจจุบันตามสากลที่นับเวลาตามเที่ยงคืนของวัน จากนั้นก็เปรียบเทียบในตาราง เช่น...

          ต้องการเดินทางออกจากบ้านวันอังคาร เวลา 18.30 น. เมื่อดูตามตารางแล้ว จะตกอยู่ในช่อง กลางคืน มีวงกลมสองอัน นั้นหมายความว่า "สองศูนย์เร่งยาตรา จะมีลาภสวัสดี"  นั่นเอง



แบบที่ 2 การดูยามอุบากอง "ค่ำขึ้นแรม+เวลา"

          การดูยามแบบ ค่ำขึ้นแรม + เวลานั้น ก็คล้าย ๆ กับการดูแบบที่ 1 แต่จะต่างกันตรงคืนแรมจะมีตารางที่แตกต่างกันออกไป คือถ้าเป็นข้างขึ้นก็สามารถยึดตารางเดิมดูได้เลย แต่ถ้าเป็นข้างแรมต้องกลับเวลาจากเย็นไปเช้าดังนี้

แบบข้างขึ้น




          กลางวัน

           เช้า   06.01 น. ถึง 08.24 น.
           สาย  08.25 น. ถึง 10.48 น.
           เที่ยง 10.49 น. ถึง 13.12 น.
           บ่าย  13.13 น. ถึง 15. 36 น.
           เย็น   15.37 น. ถึง 18.00 น.     
    
           กลางคืน   

           ยามที่ 1     18.01 น. ถึง 20.24 น.
           ยามที่ 2     20.25 น. ถึง 22.48 น.
           ยามที่ 3     22.49 น. ถึง 01.12 น.
           ยามที่ 4     01.13 น. ถึง 03.36 น.
           ยามที่ 5    03.37 น. ถึง 06.00 น.

แบบข้างแรม



          กลางวัน

           เย็น    15.37 น. ถึง 18.00 น.
           บ่าย   13.13 น. ถึง 15. 36 น.
           เที่ยง  10.49 น. ถึง 13.12 น.
           สาย   08.25 น. ถึง 10.48 น.
           เช้า    06.01 น. ถึง 08.24 น.    
    
           กลางคืน   

           ยามที่ 5     03.37 น. ถึง 06.00 น.
           ยามที่ 4     01.13 น. ถึง 03.36 น.
           ยามที่ 3     22.49 น. ถึง 01.12 น.
           ยามที่ 2    20.25 น. ถึง 22.48 น.
           ยามที่ 1    18.01 น. ถึง 20.24 น.

          ส่วนการดูยามในแบบที่ 2 นี้ วิธีการดูก็เหมือนแบบที่ 1 ต้องการดูวันข้างขึ้น วันข้างแรม เวลาไหน แล้วก็ยึดดูคำทำนายตามตาราง เช่น วันนี้ เป็นข้างขึ้น วันอาทิตย์ ต้อออกไปเสนองานแก่ลูกค้าในเวลา 18.20 น. เมื่อดูตารางแล้ว จะตกอยู่ในช่องที่มีวงกลม 2 อัน  ซึ่งหมายความว่า "สี่ศูนย์จะพูนผล แม้จรดลดีหนักหนา"

         อย่างไรก็ตามนี่ การดูยามอุบากอง เป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่มาแต่ช้านาน ยังไงก็ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ





อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

ปีชง ปี2556 และวิธีแก้ชง ปรับดวงชง เสริมดวงชะตา

ปีชง 2556 และวิธีแก้ชง เสริมดวงชะตา
ปีชง ปี2556 และวิธีแก้ชง ปรับดวงชง เสริมดวงชะตา

ปีพ.ศ.2556 นี้เป็นปีมะเส็ง (งูเห่าน้ำ : กุ่ยจี๋)
          ภูมิปัญญาจีนโบราณ ได้เผยแพร่ความเชื่อเรื่องการไหว้ "ไท้ส่วยเอี๊ยเป๋าส่วยกุงเผ่งอัง" ในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ (ตรุษจีน) ของทุกๆปี ซึ่งความเป็นจริงในปัจจุบันนี้คนเข้าใจเกี่ยวกับองค์ไท้ส่วยน้อยมากจนกล่าว ได้ว่าแทบไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของไท้ส่วยว่าเป็นใครมาจากไหน จนหลายคนรู้สึกหวาดผวาเมื่อได้ยินคำว่า “ชงไท้ส่วย”
          "ไท้ส่วย" เป็นอีกชื่อหนึ่งของดาวพฤหัสบดีในภาษาจีนโบราณ ซึ่งรวมความถึงเทพเจ้าผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ทำหน้าที่คุ้มครองให้คุณให้โทษแก่ดวง ชะตาทุกดวงในผืนพิภพแห่งนี้ และในศาสตร์เรื่องของฮวงจุ้ย ไท้ส่วยก็มีอิทธิพลอีกไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งในการประกอบกิจการใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมบ้าน ตกแต่งบ้าน สร้างบ้านคนจีนมักจะพึงซินแสในการหาฤกษ์ยามอันเหมาะสมและจะต้องหลีกเลี่ยงมิ ให้กระทบกับทิศทางที่สถิตของไท้ส่วยในปีนั้นๆ หากไม่แล้วก็จะต้องถูกลงโทษทัณฑ์ ต้องปะสบกับเคราะห์หามยามร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          อย่างที่กล่าวมาแล้ว “ไท้ส่วย” ก็คือดาวพฤหัสบดี ซึ่งในทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นประธานแห่งดาวศุภเคราะห์ทั้งมวล เป็นดาวแห่งคุณธรรม ความดี โชคลาภ โภคทรัพย์ เป็นดาวแห่งคุรุผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งแสดงความรู้ความสามารถ เป็นดาวแห่งตุลาการ ความยุติธรรม และการแผ่ขยายอันไม่มีที่สิ้นสุด ในทางโหราศาสตร์ไทย ท่านว่าหากมีดาวบาปเคราะห์ใดที่ร้ายๆ เช่น ดาวอังคาร ดาวราหู หรือร้ายหนักๆอย่างดาวเสาร์ซึ่งเป็นดาวประธานแห่งบาปเคราะห์จะให้โทษแก่ ลัคนาแล้ว แต่ในดวงเดิมหรือดวงจรมีดาวพฤหัสบดีโคจรมาทำมุมที่ดีต่อลัคน์แล้ว ท่านว่า สามารถคุ้มครองและสลายภัยร้ายในดวงชะตาได้ แต่ในทางกลับกันหากในดวงชะตามีดาวพฤหัสบดีจรมาและให้โทษแล้วละก็ ดาวศุภเคราะห์ดวงไหนๆ จะกี่สิบดาวก็ไม่สามารถคุ้มภัยหรือปกป้องได้เลย
          คติความเชื่อของจีนเอง ความหมายของดาวพฤหัสบดีก็ไม่ต่างไปจากข้างต้น ฉะนั้นไท้ส่วยเองก็เช่นเดียวกันในสมัยโบราณระบบโหราศาสตร์ และดาราศาสตร์คือสิ่งที่แยกกันไม่ออก โชคเคราะห์ของบุคคลมีเทพเจ้าประจำดวงดาวเป็นผู้กำหนด ลัทธิเต๋าเป็นลัทธิหนึ่งเดียวที่ผสานความเชื่อทางเทววิทยา เทพและปีศาจ การบันดาลโชคและเคราะห์ ความดีความชั่ว ดำและขาว โหราศาสตร์และดาราศาสตร์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
          ไท้ส่วย ทั้ง 60 องค์คือการผสมผสาน และการตกผลึกทางภูมิปัญญาของจีนในสมัยโบราณ รวมถึงคติความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณี และค่านิยมกระทั่งปรัชญาการปกครองไว้อย่างยอดเยี่ยม โดยการคำนวณตามหลักของโป๊ยหยี่ซี้เถียวมาจากการคำนวณหาราศีบนเทียงถัง 10 ตัว มาผสมกับราศีล่าง (ตี่กี่) หรือ 12 นักษัตร ซึ่งไล่เรียงจับคู่กันได้ 60 คู่ เรียกว่า “หลักจับก๊ะจื้อ” นำมากำหนดเป็นรอบปีหมุนเวียนต่อเนื่องกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่ออธิบายการก่อกำเนิดและเชื่อมโยงของกันและกันของทุกสรรพสิ่งตามทฤษฎี แห่งเต๋า
          ปีทั้ง 60 ปีนี้แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ดีโดยการใช้บุคลาฐิษฐาน หรือการใช้บุคคลทั้ง 60 คนมาแทนจำนวนปีทั้ง 60 นั้นเรียกว่า “ไท้ส่วยเอี๊ย” ที่ มาที่ไปของแต่ละองค์รวมถึงประวัติความเป็นมา ได้มาจากบุคคลที่มีเกียรติศักดิ์และฐานันดรต่างกัน ต่างเวลาต่างสถานที่กัน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ต่างก็ได้เป็นผู้มีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ และทำคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงให้แก่แผ่นดินมีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ได้รับการสดุษฎีกล่าวขวัญในเกียรติคุณความดีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานนับ พันปี อีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับอนุชนรุ่นหลัง แม้ภายหลังเมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็ยังได้รับการสถาปนาอวยยศให้เป็น “เซียน" หรือเทพเจ้าที่คุ้มครองบ้านเมืองในสมัยนั้น
          วีรบุรุษและขุนพลที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณทั้ง 60 ท่านนั้นจะได้รับการสถาปนาเป็นเทพเจ้าแห่งดาวพฤหัสบดีผู้ซึ่งคุ้มครองดวง ชะตา หรือ “ไท้ส่วยเอี๊ย” นั้น เมื่อใดไม่ปรากฏชัด แต่อารามในลัทธิเต๋าทุกอารามต่างก็มีรูปปั้นของท่านเหล่านั้นสถิตอยู่เนิ่น นานแล้ว มีการกราบไหว้บูชาขอพรกันสืบเนื่องมาเป็นประเพณีนับพันปี ซึ่งทุกท่านต่างก็ได้รับการสถาปนาเป็น “ไต่เจียงกุง” หรือ “จอมทัพ” ทำหน้าที่คุ้มครองดวงชะตาชาวประชาทั้งมวล
          ในรอบ 60 ปีนี้ จะมีเทพเจ้าไท้ส่วยประจำอยู่ในแต่ละปี ซึ่งจะมีชื่อเรียกขานต่างๆกัน ทำหน้าที่รักษาและคุ้มครองดวงปี หรือที่เรียกว่า “เฝ้าปี” อยู่ ซึ่งจะถือว่าแต่ละองค์จะมีอำนาจให้คุณดลบันดาลความสุข โชคเคราะห์ทุกข์ภัยหรือให้โทษแก่ผู้ใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของท่าน โดยเฉพาะท่านที่มีเคราะห์หรือดวงชะตาอ่อน ทำอะไรก็ติดขัดไม่ราบรื่นสมหวัง ท่านก็จะช่วยปัดเป่าเคราะห์ภัยบังเกิดแต่ความเป็นสิริมงคลมาสู่ตัวท่านและ ครอบครัว
องค์ไท้ส่วย ปี 2556 "ขุนพลฉื่อตัวไต่เจียงกุง"          สำหรับปีมะเส็ง พ.ศ.2556 นี้ องค์ไท้ส่วยที่ลงมาสถิตเฝ้าปีมีพระนามว่า “ขุนพลฉื่อตัวไต่เจียงกุง” เกิดในสมัยราชวงศ์ฮั่น (คศ.25-220) ณ เมืองส่านตี้ผิงลู่ (ปัจจุบันคือทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเสียนหยาง มณฑลซ่านซี) ศึกษาวิชาบู๊แต่ยังเล็ก  ท่านขุนพลฉื่อตัวเป็นผู้ที่มีจิตใจห้าวหาญและเด็ดเดี่ยว  มีความเชี่ยวชาญในการทำศึก เคยเป็นผู้นำทัพชนะการโจมตีฝ่ายพันเชา และพันเฉิง ตลอดจนโจมตีเมืองอู่ชุนจนแตกพ่าย และในที่สุดท่านก็เป็นผู้สร้างสันติภาพในเขตซีอิ้ว (ปัจจุบันคือมณฑลซินเกียง, ด่านอวี้เหมินกวน) ให้มีความสงบร่มเย็น
          เหตุที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนให้ความเคารพบูชากราบไหว้ เพราะมีความเชื่อว่าเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยจะบันดาลความสุขความทุกข์ให้เกิดแก่ ใครนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเมตตาของท่าน หากใครมีเกณฑ์ชะตาที่ดีอยู่แล้วจะได้ดียิ่งขึ้น หากใครมีดวงชะตาที่ไม่ดีทำอะไรก็มีปัญหาติดขัด ก็อธิฐานขอพรจากท่านให้ช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยให้ ดังนั้นในแต่ละปีจึงมีผู้คนไปกราบไหว้บูชาขอพร ให้อยู่เย็นเป็นสุขมีดวงชะตาที่ดีตลอดทั้งปี ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนจึงมีประเพณีในการไหว้ฝากดวงเพื่อสะเดาะเคราะห์ ต่อเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย โดยเฉพาะ “ท่านที่เกิดปีชงกับองค์ไท้ส่วย ปีทับไท้ส่วย ปีร่วมชงไท้ส่วย ปีเฮ้งไท้ส่วย ปีไห่ไท้ส่วย ปีผั่วไท้ส่วย” ซึ่งจากเกณฑ์ทั้ง 6 รูปแบบ ต่างก็มีอิทธิพลร้ายต่อดวงชะตาทั้งนั้น อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะร่างกายไม่แข็งแรงเจ็บป่วยง่าย จิตใจไม่เป็นสุข งานการหยุดชะงัก การลงทุนเสียหาย ทะเลาะเบาะแว้งกับคนรอบข้างถึงกระทั้งอาจมีคดีความ ผิดหวังในความรัก หรืออาจจะหนักขึ้นถึงขั้นเลือดตกยางออก กระทั่งถึงแก่ชีวิต และปีเกิดที่ผู้เขียนได้เขียนว่าเข้าเกณฑ์ทั้ง 6 รูปแบบ ผู้เขียนได้เน้นเขียนให้เฉพาะหลักปีเกิด (เนื่องจากเป็นไท้ส่วยของบุคคลส่งผลกับดวงชะตามากที่สุด) ซึ่งหากจะให้ละเอียดจะต้องเอา วัน เดือน ปีเกิด และเวลาตกฟากมาคำนวณดวงชะตาตามแบบโหราศาสตร์จีน (โป๊ยหยี่ซี้เถียว) เพื่อจะได้คำนวณว่าในดวงชะตาของท่านในปีนี้จะเข้าเกณฑ์ในรูปแบบไหนเกี่ยวพัน กับเรื่องอะไร เพื่อจะได้ตั้งสติคอยระวังป้องกันตัวมิให้เรื่องร้ายต่างๆ เกิดขึ้นได้กับตัวท่านเองหรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นการผ่อนหนักเป็นเบา
โดยเมื่อท่านทราบว่าในปีนี้ดวงชะตาของท่านตกอยู่ในเกณฑ์ใดรูปแบบใดรูปแบบ หนึ่งใน 6 รูปแบบท่านสามารถเดินทางไปไหว้สะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตากับองค์ไท้ส่วยเอี๊ย ด้วยตนเองต่อเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยได้ที่ วัดจีนใกล้บ้านคุณที่มี “องค์ไท้ส่วยเอี๊ย” ประดิษฐานอยู่
 
          ท่านที่มีปีเกิดที่ชงกับปีนี้ และควรไปไหว้ “องค์ไท้ส่วย” คือ ท่านที่เกิดปี ดังต่อไปนี้ 
          1.ปีกุน(หมู)ชง(ปะทะ)โดยตรงกับเทพเจ้า “ไท้ส่วยเอี๊ย” และเป็นอริกับปีมะเส็งโดยตรง
          2.ปีมะเส็ง(งูเล็ก) ทับไท้ส่วย และยัง “คัก” กับปีมะเส็งเองด้วย
          3.ปีขาล(เสือ) ปีร่วมชงไท้ส่วย และยัง “ไห่(ให้ร้าย)” พร้อม “เฮ้ง(เบียดเบียน)” กับปีมะเส็งด้วย
          4.ปีวอก(ลิง) ปีร่วมชงไท้ส่วย และยัง “ผั่ว(แตกแยก)” พร้อม “เฮ้ง(เบียดเบียน)” กับปีมะเส็งด้วย
          และท่านที่ห้ามไปเป็นเจ้าภาพหรือเข้าร่วมพิธีทั้งงานมงคล(แต่งงาน) และอัปมงคล(งานศพ รวมถึงการเยี่ยมไข้คนป่วยด้วย) แต่ถ้าหากไม่สามารถเลี่ยงได้ก็ขอให้ละเว้นการไปดูศพเวลาฝังศพ(เผาศพ) หรือแม้แต่การส่งศพ และควรติดกิ่งทับทิมไปด้วย พร้อมทั้งเตรียมน้ำใส่กิ่งทับทิมไว้ด้วยสำหรับล้างหน้าก่อนที่จะเข้าบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากไปร่วมงานกลับมาแล้ว เพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลต่างๆ จะปะทะให้เจ็บป่วยได้คือ ท่านที่เกิดในปีนักษัตร ในรอบปีต่อไปนี้
          1.ปีกุน ท่านที่เกิด ปี2490(อายุ 66ปี) ปี2514(อายุ 42ปี) ปี2550(อายุ 6ปี)
          2.ปีมะเส็ง ท่านที่เกิด ปี2472(อายุ 84ปี) ปี2532(อายุ 24ปี)
          3.ปีขาล ท่านที่เกิด ปี2481(อายุ 75ปี) ปี2505(อายุ 51ปี) ปี2541(อายุ 15ปี)
          4.ปีวอก ท่านที่เกิด ปี2463(อายุ 93ปี) ปี2523(อายุ 33ปี)
          เพราะทั้ง 10 ปีนี้เป็น “ไท้ส่วยเฮี้ยบจี่จู้” แปลว่า “ไท้ส่วยตรงเจ้าพิธี” นอกจากจะนำพาสิ่งอัปมงคลทั้งหลายมาให้แล้ว ยังถือเป็น การหมิ่น และลบหลู่ต่อองค์ไท้ส่วยอีกด้วย
          วิธีบูชาเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จุดธูป 9 ดอก ไหว้พระประธานในวัดก่อน (ปักธูปกระถางละ 3 ดอก) จากนั้นจึงไปไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จุดธูป 3 ดอกวิงวอนขอพรท่าน ให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครองจากภยันอันตรายต่างๆ ที่ท่านอาจประสบพบเจอในปีนี้ จากหนักให้กลายเป็นเบา จากเบาก็ให้มลายสูญสิ้นไป
          เครื่องบูชาเทพเจ้าไท้ส่วย มีดังนี้ (ถ้าไปทำพิธีที่วัดจีนใกล้บ้านคุณที่มี “องค์ไท้ส่วยเอี๊ย” ประดิษฐานอยู่ ทางวัดมักมีจัดบริการไว้ให้แล้วเป็นชุด : ให้เข้าไปซื้อในวัดถึงจะเป็นของวัดแท้จริง)
          1. ธูป 3 ดอก ต่อ 1 ท่าน           2. เทียนแดง 1 คู่
          3. หงิ่งเตี๋ย 12 คู่                      4. ตั่วกิม 12 แผ่น (กระดาษทอง)
          5. ทุกหลั่งจี๊ 12 แผ่น                 6. เป๋าอุ่งจี๊ 12 แผ่น
          7. เผ่งอังจี๊ 12 แผ่น                   8. กระดาษแดง (อั่งเถียบ) 1 แผ่น
          9. ขนมจันอับ (จับกิ้มทึ้ง) 1 จาน
              อันประกอบด้วย....
               - ถั่วเคลือบน้ำตาลสีขาว - ถั่วเคลือบน้ำตาลสีชมพู - ฟักเชื่อม - ถั่วตัด - ข้าวพอง

          10. ส้ม 4 ผล 1 จาน
     1. นำกระดาษแดงที่เขียน ชื่อ-นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด (และเวลาตกฟาก) วางลงบนกระดาษไหว้ ใช้หนังสติ๊ก หรือเชือกแดงมัดไว้
     2. จัดส้ม 4 ผล และขนมจันอับใส่จานจัดวางต่อหน้าองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย
     3. จุดเทียนแดงปักไว้ข้างๆ กระถาง จากนั้นจุดธูป 3 ดอก อธิษฐาน.....
          คำอธิษฐานขอพรไหว้เทพเจ้าไท้ส่วย
          วันนี้ตรงกับวันที่...เดือน.....พ.ศ. ... ข้าพเจ้าชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...
ขออัญเชิญเทพเจ้า “ขุนพลฉื่อตัวไต่เจียงกุง” โปรดเสด็จมารับเครื่องสักการบูชาทั้งหลาย เมื่อรับแล้วโปรดประทานพรให้ข้าพเจ้าและครอบครัวประสบแต่สรรพสิริมงคล มีความสุขความเจริญก้าวหน้าอุดมด้วยโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น เงินทองไหลมาเทมา ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย สิ่งอัปมงคลทั้งหลายอย่าได้แผ้วพาน ขอให้สมความปรารถนาด้วยมงคลทั้งปวงเทอญ
     4. ถ้าเป็นของตนเองให้หยิบชุดสะเดาะเคราะห์ที่เตรียมไว้ตามข้อ 1 ปัดตั้งแต่ศรีษะลงมาจนสุดแขน 12 ครั้ง (หมายเหตุ ถ้าท่านไปไหว้แทนบุคคลอื่น ก็ไม้ต้องทำพิธีปัดตัว แต่ให้กระทำโดยปัดเสื้อของบุคคลนั้นแทน) ขณะปัดตัวให้กล่าวว่า “บังเกิดแต่สิ่งรุ่งเรืองก้าวหน้า สิ่งอัปมงคลให้ปัดเป่าหายไป”
     5. นำชุดสะเดาะเคราห์วางลงในกล่องรับฝากที่ทางวัดจัดไว้ให้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี ของเซ่นไหว้ต่างๆ ถวายให้วัดไม่ต้องนำกลับบ้าน (ของไหว้ที่รับประทานได้ ไม่ต้องเก็บกลับบ้านให้วางไว้ที่วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล)
หมายเหตุ ท่านสามารถไปทำพิธีได้ทุกวันที่ท่านสะดวก (ควรเป็นช่วงเวลาเช้าๆ ก่อนเที่ยง) และ
          -ผู้หญิงขณะมีประจำเดือนไม่ควรทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้งดเว้นไปก่อน
          -เจ้าชะตาปีมะเส็ง และเจ้าชะตาปีกุน ขณะนำชุดกระดาษไหว้มาปัดตัว ให้ผู้มีอาวุโสกว่าเราปัดให้จะดีกว่า
          ช่วงปีใหม่ และตรุษจีน ปี2556 ควรหาโอกาสไปไหว้เทพเจ้าต่างๆ ตามแต่ที่จะเสริมปีนักษัตรตนเอง (ส่วนคำพยากรณ์ดวงประจำปี 2556 ของแต่ละปีเกิดอย่างละเอียด กับทิศมงคล ทิศอัปมงคลประจำปี 2556 และวัตถุมงคลเสริมราศีปีเกิดประจำปี 2556 กำลังอยู่ในช่วงจัดทำ เมื่อแล้วเสร็จทางร้านจะนำมาพิมพ์เผยแพร่แล้วทำการแจ้งให้ท่านผู้อ่านทราบ ต่อไปช่วงปลายปี 2555 นะครับ)
          ในช่วงกลางปี 2555นี้ เนื่องจากท่านผู้อ่านที่ติดตามอ่านบทความของทางร้านมาตลอดทุกปี ได้ติดต่อเข้ามากับทางร้านให้เขียนบทความเกี่ยวกับปีชงของปี 2556 แต่เนิ่นๆ เพื่อที่จะได้ทราบว่าตนเองมีเกณฑ์การชงหรือไม่ในปีถัดไป จะได้ตั้งหลักระวังตัวไว้ก่อน (คนที่ดวงดีในปีนี้ 2555 จะได้ไม่ประมาทชะล่าใจเตรียมตัวเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าเพื่อจะได้ ป้องกันเหตุอันไม่พึงปรารถนาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ให้เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดขึ้นก็จะได้ไม่เสียหายมากนัก)
          1.ปีกุน(หมู) (ชง : ปะทะ) โดยตรงกับเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา “ไท้ส่วยเอี๊ย” และเป็นอริกับปีมะเส็งโดยตรง เกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์ร้ายที่สุดในบรรดา “ฆาตดวงชะตา” ทั้ง หลาย เป็นเกณฑ์ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงครั้งใหญ่ในชีวิต ทั้งด้านหน้าที่การงาน ธุรกิจ การงาน การลงทุน สุขภาพ ความรัก คู่ครอง ทั้งหมดต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะหากใครตกเกณฑ์นี้ จะมีแนวโน้มที่จะผิดหวัง เสียหาย ถูกทำลาย หรือวิบัติสูญสิ้น โดยในปีนี้ให้ระวังเรื่องอุบุติเหตุเป็นพิเศษ
          ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ “องค์ไท้ส่วยเอี๊ย” และถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ)
          และเพื่อเป็นการเสริมดวงชะตาของคุณเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปี 2556 ควรหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงคนเกิดปีกุนเฉพาะเรื่อง ดังนี้
เสือสีส้ม เสือสีเหลือง - ปีขาล (เสือ) คบแล้วพากันให้ร่ำรวย หรือมีบุตรเกิดปีนี้จะทำให้พ่อแม่รวย
ปีเถาะ no.28-112-008 กระต่ายเสื้อฟ้าถือฮก กระต่ายเสื้อส้มถือฮก - ปีเถาะ (กระต่าย) เสริมดวงเรื่องการเงิน
ปีมะแม-SX878 - ปีมะแม (แพะ) เสริมดวงเรื่องความคิด

          2.ปีมะเส็ง(งูเล็ก) ทับไท้ส่วย หากผู้ใดตกเกณฑ์นี้จะทำให้ปีนี้ทั้งปีมีแต่เรื่องปวดหัว แต่ยังมีความสุขหรือมีโชคเข้ามาบ้างสลับกันไป ทำให้บางครั้งดูเหมือนว่าโชคดีแต่ลาภผลทั้งหลายจะถูกบั่นทอนลงไปครึ่งหนึ่ง หรือไม่ก็ถูกผู้อื่นแย่งชิงไปจากเรา หากเจ้าชะตามีการแข่งขันช่วงชิงผลประโยชน์ในปีนี้ก็น่าจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจแต่เนิ่นๆ อย่าได้ชะล่าใจ หรือมั่นใจตัวเองมากเกินไป สิ่งที่เราคาดหวังไว้มีโอกาสหลุดมือไปโดยง่าย
          ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ “องค์ไท้ส่วยเอี๊ย” และถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ)
          และเพื่อเป็นการเสริมดวงชะตาของคุณเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปี 2556 ควรหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงคนเกิดปีมะเส็งเฉพาะเรื่อง ดังนี้
- ปีฉลู (วัว) เสริมดวงเรื่องการเงิน
ปีระกา no.28-112 -006 - ปีระกา (ไก่) เสริมดวงเรื่องความสุข
ปีวอก no.28-112-007 - ปีวอก (ลิง) เสริมดวงเรื่องความคิด

          3.ปีขาล(เสือ) ปีร่วมชงไท้ส่วย และยังทั้ง “ไห่(ให้ร้าย)” ทั้ง “เฮ้ง(เบียดเบียน)” กับปีมะเส็งด้วย เกณฑ์นี้เป็นเกณฑ์เรื่องคดีความ เจ้าชะตามักมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิตมากมาย ได้รับการประทุษร้าย เห็นผิดเป็นชอบ บางสิ่งที่ทำแล้วคิดว่าดีแต่กลับเป็นผลร้าย ในปีนี้ทั้งปีห้ามเป็นนายประกันให้ใคร หรือห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับการค้ำประกันใดๆ หมั่นระวังเรื่องเอกสารสัญญาต่างๆ ให้ระเอียดรอบคอบเพราะข้อมูลเอกสารที่สำคัญๆ ของเจ้าชะตาจะมีการหมกเม็ดปลอมแปลงแก้ไขแต่งเติมโดยที่เจ้าชะตาขาดไม่ถึง นอกจากควรรอบคอบเรื่องกฎหมายคดีความแล้ว การเข้าใจผิดระหว่างพี่น้องเพื่อนฝูงก็มีโอกาสกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตต้อง ระวังให้มากด้วยเช่นกัน และให้ระวังเรื่องถูกคนใส่ร้าย หรือถูกแย่งชิงผลงานด้วย
          ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ “องค์ไท้ส่วยเอี๊ย” และถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ)
          และเพื่อเป็นการเสริมดวงชะตาของคุณเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปี 2556 ควรหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงคนเกิดปีขาลเฉพาะเรื่อง ดังนี้
- ปีมะเมีย (ม้า) เสริมดวงเรื่องการเงิน
ปีจอ-SX878 ปีจอ no.28-112-002 - ปีจอ (สุนัข) เสริมดวงเรื่องความคิด
หมูป่าเล็กสายทอง หมูป่าห้อยโทรศัพท์ หมูจิ๋วตั้งโต๊ะ - ปีกุน (หมู) เสริมดวงเรื่องความร่ำรวย

          4.ปีวอก(ลิง) ปีร่วมชงไท้ส่วย และยังทั้ง “ผั่ว(แตกแยก)” ทั้ง “เฮ้ง(เบียดเบียน)” กับปีมะเส็งด้วย เกณฑ์นี้ต้องระวังเรื่อง พ่อแม่ อาชีพการงานไม่มั่นคงเปลี่ยนแปลงบ่อย ความเหงาเดียวดาย หากมีคู่หรือมีความรักในช่วงปีนี้จะไม่ค่อยสดชื่นสมหวัง และให้ระวังเรื่องคดีความ เจ้าชะตามักมีอุปสรรคในการดำเนินชีวิตมากมาย ได้รับการประทุษร้าย เห็นผิดเป็นชอบ บางสิ่งที่ทำแล้วคิดว่าดีแต่กลับเป็นผลร้าย ในปีนี้ทั้งปีห้ามเป็นนายประกันให้ใคร หรือห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับการค้ำประกันใดๆ หมั่นระวังเรื่องเอกสารสัญญาต่างๆ ให้ระเอียดรอบคอบเพราะข้อมูลเอกสารที่สำคัญๆ ของเจ้าชะตาจะมีการหมกเม็ดปลอมแปลงแก้ไขแต่งเติมโดยที่เจ้าชะตาขาดไม่ถึง นอกจากควรรอบคอบเรื่องกฎหมายคดีความแล้ว การเข้าใจผิดระหว่างพี่น้องเพื่อนฝูงก็มีโอกาสกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตต้อง ระวังให้มากด้วยเช่นกัน แต่ในความโชคร้ายในปีนี้คนปีวอกยังมีความโชคดีอยู่ด้วย เนื่องจากเป็นปีนักษัตรที่สมพงศ์กับปีมะเส็งกล่าวคือ จะเป็นปีที่ต้นร้ายแต่ปลายดี
          ควรไปไหว้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงชะตาต่อ “องค์ไท้ส่วยเอี๊ย” เพื่อ ลดร้ายพร้อมกับเสริมความโชคดีไปพร้อมกันด้วย และถ้าเป็นไปได้หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วให้ไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด พร้อมทั้งถือปฏิบัติตนในปีชงตลอดทั้งปี (มีคำแนะนำด้านท้ายบทความ)
          และเพื่อเป็นการเสริมดวงชะตาของคุณเพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในปี 2555 ควรหาบูชาเครื่องรางปีนักษัตรที่เสริมดวงคนเกิดปีวอกเฉพาะเรื่อง ดังนี้
ปีชวด no.28-112-003 - ปีชวด (หนู) เสริมดวงเรื่องการงาน
มะโรงสีแดง มะโรงสีเหลือง - ปีมะโรง (มังกร) เสริมดวงเรื่องการเงิน
- ปีมะเส็ง (งูเล็ก) เสริมดวงเรื่องความคิด

          ส่วนผู้ที่มีแนวโน้มที่ดวงชะตาชีวิตจะสดใสขึ้นในปี 2556 นี้คือผู้ที่เกิด ปีเถาะ ปีฉลู ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมส่งให้ดวงชะตาของท่านพุ่งสุดขีดไม่ถูกบั่นทอนลง และท่านที่มีเกณฑ์ชงทั้ง 4 ปีที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น  (หลังจากที่ท่านไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ฝากดวงที่วัดจีนเรียบร้อยแล้ว) ให้ท่านทำบุญดังนี้ (ถ้าเป็นได้ให้ทำทั้งปี 2555 และปี 2556 ตลอดทั้งปี)
1. ปล่อยนกปล่อยปลาเท่าอายุ
2. ทำบุญสังฆทานทุก 2 เดือน
3. ถือศีล กินเจ ทุกเดือน (เดือนละกี่วันก็ได้ตามสะดวก)
4. ทำบุญซื้อโลงศพ
5. นั่งสมาธิหมั่นทำบุญตักบาตร
6. ไหว้พระ 9 วัด
7. ร่วมทำบุญซื้อวัวควาย
ไหว้พระ 9 วัด เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล (ถ้าเป็นไปได้ให้ไปช่วงปีใหม่ หรือตรุษจีนหลังจากไปทำพิธีที่วัดจีนเสร็จแล้ว)
ศาลหลักเมืองกรุงเทพ1. ศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร (เวลาเปิด-ปิด 05.30 - 19.30 น.)
ไปสักการะ "เทพารักษ์ทั้ง 5" คือ พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระกาฬไชยศรี, เจ้าพ่อเจตคุปต์, เจ้าพ่อหอกลอง เพื่อ "ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี" ไหว้ เสาหลักเมืององค์จำลอง ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ผ้าแพร 3 สี ดอกบัว และไหว้องค์จริงด้วยพวงมาลัย
สถานที่ตั้ง อยู่บริเวณหัวมุมสวนหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง ถนนหลักเมือง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 9, 15, 25, 30, 32, 33, 39, 43, 44, 47, 53, 64, 80, 82, 91,201, 203 รถปรับอากาศ สาย 503,508, 512
วัดพระแก้ว2. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (เวลาเปิด-ปิด 08.30 - 16.00 น.)
ไหว้พระแก้วมรกต พระพุทธรูปสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เป็นศูนย์กลางความศรัทธาไทย - ลาว เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวน เงินทองไหลมาเทมาตลอดปี" ด้วยธูป เทียน ดอกบัวคู่
สถานที่ตั้ง อยู่ในพระบรมมหาราชวัง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 9, 15, 25, 30, 32, 33, 39, 43, 44, 53, 59, 64, 80, 82,91,201, 203 รถปรับอากาศ สาย 501, 503, 508, 512
วัดโพธิ์3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
นมัสการพระพุทธไสยาสน์อันศักดิ์สิทธิ์ (ที่ฝ่าพระบาททั้งสองข้างประดับมุก ลวดลายภาพมงคล 108 ประการ) เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระนอนวัดโพธิ์ ร่มเย็นเป็นสุข อยู่ดีกินดีตลอดปี" ด้วยธูป 9 ดอก เทียนแดงคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น
สถานที่ตั้ง หลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 6, 9, 12, 25, 43, 44, 47, 53, 60, 82, 91, 123,รถปรับอากาศ สาย 501, 508
ศาลเจ้าพ่อเสือ4. ศาลเจ้าพ่อเสือ (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ไปสักการะ เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่ทับทิม ฯลฯ เพื่อเสริม "อำนาจบารมี" ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ พวงมาลัย 1 พวง "ศาลเจ้าเก่าแก่ของลัทธิเต๋า" หนึ่งในสามมหาสถานของพระนครที่ชาวจีนต้องสักการะบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล "เสริมอำนาจบารมี"
สถานที่ตั้ง ถนนตะนาว แขวงเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 10, 12, 19, 35, 42, 56, 96
วัดสุทัศน์5. วัดสุทัศน์เทพวราราม (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ไหว้พระองค์ประธาน (พระศรีศากยมุณี) ที่เก่าแก่ ซึ่งอดีตเคยประดิษฐานอยู่ที่วิหารหลวงวัดมหาธาตุของกรุงสุโขทัย เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดสุทัศนฯ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป" ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม ดอกบัวหรือพวงมาลัย
สถานที่ตั้ง บริเวณเสาชิงช้า ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 10, 12
วัดชนะสงคราม6. วัดชนะสงคราม (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ในพระอุโบสถ และ "สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา)" ผู้นับถือความซื่อสัตย์ ด้วย ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก มีความเชื่อว่า "จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง" "ไหว้พระวัดชนะสงคราม อุปสรรคร้ายพ่ายแพ้"
สถานที่ตั้ง ถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 3, 6, 9, 15, 30, 32, 33, 43, 53, 64, 65, 82, 123 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 6, 509
วัดระฆัง7. วัดระฆังโฆษิตาราม (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
สักการะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และพระประธานที่วัดระฆัง อ่านคาถาชินบัญชร เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดระฆัง มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 3 แผ่น หมากพลู
สถานที่ตั้ง ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทาง สาย 19, 57, 83 ท่าเรือ เรือด่วนเจ้าพระยา ลงท่ารถไฟหรือท่าวังหลังก็ได้ หรือลงเรือข้ามฟากจากท่าช้างไปท่าวัดระฆัง
วัดอรุณฯ8. วัดอรุณราชวราราม (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ไหว้พระปรางค์วัดอรุณฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดอรุณ ชีวิตโรจน์รุ่ง ทุกวันคืน" ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ และต้องไปเดินทักษิณาวัตรรอบ "พระปรางค์" อีก 3 รอบ เพื่อ "ชีวิตรุ่งโรจน์"
สถานที่ตั้ง ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่
การเดินทาง เดินทางโดยรถประจำทางสาย 19, 57, 83 ทางเรือ ลงเรือข้ามฟากที่ท่าเตียนขึ้นที่ท่าวัดอรุณ
วัดกัลยานมิตร9. วัดกัลยาณมิตร (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
ไหว้หลวงพ่อซำปอกง (พระพุทธไตรรัตนนายก) พระโตริมน้ำตามตำนาน กรุงศรีอยุธยา ณ วัดกัลยาณมิตร เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้หลวงพ่อซำปอกง โชคดีมีชัยปลอดภัยตลอดปี" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่
สถานที่ตั้ง แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี
การเดินทาง โดยรถประจำทาง สาย 3, 4, 7, 7ก, 9, 21, 37, 56, 82 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 7, 21, 82 (นั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างจากโรงเรียนศึกษานารี เข้ามาที่วัดเพราะรถ ประจำทางเข้าไม่ถึง) ทางเรือ ลงเรือข้ามฟากที่ท่าปากคลองตลาดขึ้นท่าวัดกัลยาณมิตร เพื่อความสะดวกควรเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง หรือบริการขนส่งสาธารณะ เนื่องจากสถานที่จอดรถมีจำกัดมาก
บางคนเคร่งครัดจัดถึงขนาดที่จะต้องไปสักการะให้ครบทั้ง 9 แห่งในวันเดียว !!!
การ ได้ไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนั้นไม่จำเป็นต้องไปในวันพิเศษ ทางศาสนาเท่านั้น หากสามารถไปนมัสการได้ทุกเมื่อ ซึ่งการไปนมัสการนี้ ไม่เพียงจะก่อให้เกิดความสบายใจเท่านั้น หากยังเป็นกุศโลบายที่สร้างความเชื่อมั่นในการพาชีวิตก้าวเดินต่อไปในอนาคต ด้วยสัญญาใจที่ให้ไว้กับตัวเอง และถ้าไม่มุ่งมั่นในการโกย "มงคล" เกินไป เวลานั้นน่าจะเป็นเวลาทองที่ได้ซึมซับความสงบสุข ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ได้อีกด้วย


 บทความจาก
 http://www.turtlebiz.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539319195&Ntype=1

ดูดวงปี 2556 หมอลักษณ์ ดูดวงปี 2556 ตำราพรหมชาติ

ดูดวงปี 2556 หมอลักษณ์ ดูดวงปี 2556 ตำราพรหมชาติ

ดูดวงปี 2556 หมอลักษณ์ ดูดวงปี 2556 ตำราพรหมชาติ ระหว่างที่รอการฟันธงจากหมอลักษณ์ เรขานิเทศ ขอเอาคำดูดวงจากตำราพรหมชาติ ที่ว่ากันว่าแม่นที่สุด และสามารถเป็นตำราอ้างอิง ในการทำนายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกนี้ Jamjung.com ได้รวบรวมจาก ตำราพรหมชาติ ครับ หากนำไปติดเว็บไซต์อื่น กรุณาลิ้งกลับมาที่ เว็บไซต์เราด้วยนะครับ
ตำราพรหมชาติ
  • ดูดวงปี 2556 ปีชวด
  • ดูดวงปี 2556 ปีฉลู
  • ดูดวงปี 2556 ปีขาล
  • ดูดวงปี 2556 ปีเถาะ
  • ดูดวงปี 2556 ปีมะโรง
  • ดูดวงปี 2556 ปีมะเส็ง
  • ดูดวงปี 2556 ปีมะเมีย
  • ดูดวงปี 2556 ปีมะแม
  • ดูดวงปี 2556 ปีวอก
  • ดูดวงปี 2556 ปีระกา
  • ดูดวงปี 2556 ปีจอ
  • ดูดวงปี 2556 ปีกุน
ในส่วนของ ดูดวงปี 2556 หมอลักษณ์ ทาง jamjung.com ต้องรอการอนุญาติจากเว็บไซต์ จองท่านอาจารย์ หมอลักษณ์ เรขานิเทศ เพื่อเผยแพร่ในลำดับต่อไป โปรดติดตามที่นี่ครับ

ปีชง 2556 ปีชงปีมะเส็ง แก้ชงปีมะเส็ง ปี 2556 และวิธีแก้ชง

               ปีพ.ศ.2556 นี้เป็นปีมะเส็ง 


แก้เคล็ดปีชง 2556 ปีชงมะเส็ง
 
ตามความเชื่อทางด้านโหรราศาสตร์ของจีน ว่ากันว่าในทุกๆปี องค์ไท้ส่วยหรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา ผู้มีผลดลบันดาลให้เกิดความสุขและความทุกข์แก่มนุษย์โดยตรงทั้ง60พระองค์ โดยนับตามหลักจับกะจื้อ จะสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่ดูแลโชคและเคราะห์ของแต่ละบุคคล
ชาวจีนโดยทั่วไปเชื่อว่า องค์ไท้ส่วยหรือเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นการกราบไหว้บูชาเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา หรือ องค์ไท้ส่วย ทุกๆ ปี ก็เป็นการเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดปีชง การกราบไหว้องค์ไท้ส่วย ถือเป็นการไหว้เทพเจ้าที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากคนที่ปีเกิดเป็นปีชงจะกราบไหว้บูชาเพื่อฝากดวงชะตา ให้องค์ไท้ส่วยช่วยปัดเป่าทุกข์ภัย แล้ว คนที่เกิดปีนักษัตรอื่นก็สามารถกราบไหว้บูชาให้ความศรัทธาต่อองค์ไท้ส่วยที่ มาเฝ้าปีได้เช่นกัน ทั้งนี้เพื่อการเป็นสิริมงคลหรือเสริมดวงให้คนที่ดวงดีอยู่แล้ว ก็ดียิ่งๆขึ้นไปอีก เรียกอีกอย่างว่าเป็นการไหว้เพื่อให้องค์ไท้ส่วยหนุนดวงชะตา ให้ชีวิตราบรื่น อยู่เย็นเป็นสุข
องค์ไท้ส่วยที่รับหน้าที่เฝ้าปีในปีพ.ศ. 2556 นี้ ปีมะเส็ง ตามปีใน 12 นักษัตร มีพระนามว่า ฉื่อตัวไต่เจียงกุง ตาม ความเชื่อโบราณเชื่อว่า พระองค์เป็นขุนพลที่เก่งกล้า สามารถควบคุมการรบและสู้ศึกได้อย่างกล้าหาญจนเป็นที่เลื่องลือ เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์, รักความสงบและมีความยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่าเป็นขุนพลที่มีทั้งพระเดชและพระคุณอย่างครบถ้วน จนกล่าวได้ว่า เมื่อ องค์ฉื่อตัวไต่เจียงกุง ทรงเสด็จลงมาเฝ้าปี ในปีพ.ศ.2556 คนที่ทำอาชีพทุจริตผิดกฎหมาย, คอรัปชั่น จะได้รับความเดือดร้อน ถูกเอาผิดหรือถูกปราบปราม เป็นปีที่เรื่องดังกล่าวมีความเด่นชัดที่สุด
อย่างไรก็ตามคนที่ควรไปกราบไหว้บูชาหรือทำการแก้เคล็ดที่สุด เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการดำรงชีวิตและเพื่อให้รอดพ้นจากอิทธิพลร้ายใน ช่วงปีชง 2556 คือ
 ปีชง2556 คนที่เกิดปี กุน คือ ปีชงกับปีมะเส็งและถือเป็นอริ ปะทะโดยตรงกับ องค์ไท้ส่วย อาจ มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีอย่างรุนแรง เป็นดวงอริ พิฆาตดวงชะตา จึงไม่ควรใช้ชีวิตด้วยความประมาท เป็นไปได้สูงที่จะต้องสูญเสียของรักหรือผิดหวังอย่างรุนแรง ไม่เช่นนั้นก็ให้ระวังกระทบกระทั่งกับคนใกล้ตัวและบริวาร นอกจากจะต้องไปกราบไหว้ขอพรฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วยแล้ว ก็ควรหารูปขององค์ไท้ส่วยประจำปีเกิดของตนมาบูชาหรือพกพาติดตัว ไม่เช่นนั้นก็ควรนำเครื่องรางของปีนักษัตร ขาล,เถาะหรือมะแม มาพกติดตัวเพื่อช่วยปัดเป่าภัยอันตรายให้พ้นตัว
 ปีชง2556 คนที่เกิดปี มะเส็ง คือ ปีทับไท้ส่วย ดวง ชะตาปี2556 มีแนวโน้มที่จะพบกับอุปสรรคหรือความล้มเหลว หากใช้ชีวิตโดยประมาทขาดความรอบคอบ มักจะได้รับความเดือดร้อนอย่างที่สุด เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบบานปลาย สิ่งที่คิดหวังไว้อาจหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากจะต้องไปกราบไหว้ขอพรฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วยแล้ว ก็ควรหารูปขององค์ไท้ส่วยประจำปีเกิดของตนมาบูชาหรือพกพาติดตัว ไม่เช่นนั้นก็ควรนำเครื่องรางของปีนักษัตร ฉลู, วอกหรือระกา มาพกติดตัวเพื่อช่วยเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น
 ปีชง2556 คนที่เกิดปีขาล คือปี ร่วมชงไท้ส่วย ให้ ผลเบียดเบียนและให้ร้าย กับปีมะเส็ง มักเกิดผลเสียเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ถูกหลอกลวงให้เสียเงินเสียเวลาหรือถูกทำลายชื่อเสียง ระวังความไม่ปรองดองกันของคนในครอบครัว,ญาติพี่น้องและเรื่องของสุขภาพ นอกจากจะต้องไปกราบไหว้ขอพรฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วยแล้ว ก็ควรหารูปขององค์ไท้ส่วยประจำปีเกิดของตนมาบูชาหรือพกพาติดตัว ไม่เช่นนั้นก็ควรนำเครื่องรางของปีนักษัตร มะเมีย,จอหรือกุน มาพกติดตัวเพื่อช่วยบรรเทาอุปสรรคต่างๆให้ลดน้อยลง
 ปีชง2556 คนที่เกิดวอก คือ ปี ร่วมชงไท้ส่วยอีก ปีหนึ่งเช่นกัน ให้ผลแตกแยกกับปีมะเส็งอีกทั้งยังเบียดเบียนกับปีมะเส็ง จึงมักประสบกับปัญหา ผิดหวังซ้ำซาก ติดขัดหลายเรื่อง นอกจากชีวิตจะไม่ค่อยราบรื่นแล้ว ยังต้องพบเจอเรื่องลำบากใจ เสียของรัก ผลประโยชน์ที่ควรได้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา อาจมีปัญหาทั้งหนัก เบาและเป็นๆหายๆ ตลอดทั้งปี นอกจากจะต้องไปกราบไหว้ขอพรฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วยแล้ว ก็ควรหารูปขององค์ไท้ส่วยประจำปีเกิดของตนมาบูชาหรือพกพาติดตัว ไม่เช่นนั้นก็ควรนำเครื่องรางของปีนักษัตร ชวด ,มะโรงหรือมะเส็ง มาพกติดตัวเพื่อกระตุ้นให้สิ่งดีๆ รวมถึงโชคลาภหมุนเวียนเข้ามาหา
ด้วยความปรารถนาดีจาก อ.เสือ

 

ปีชง 2556  

ปีชง 2556  เริ่มนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน หรือวันตรุษจีน2556  โดย ตรุษจีน 2556 นี้ 

แก้เคล็ดปีชง 2556 มะเส็งเล่นน้ำ
          ภูมิปัญญาจีนโบราณ ได้เผยแพร่ความเชื่อเรื่อง เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา หรือ องค์ไท้ส่วย มานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลัทธิเต๋า ที่มักพบว่ามีรูปปั้นของ องค์ไท้ส่วยทั้ง 60 รูปประทับอยู่เพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปได้สักการบูชาในทุกๆอาราม แต่ละปี องค์ไท้ส่วย จะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุกๆปีอย่างไม่มีวันสิ้นสุด หรือที่เรียกว่า “เฝ้าปี” เพื่อทำหน้าที่ปกปักรักษาคุ้ม ครองดวงปี โดยใช้หลักโหรราศาสตร์จีน โป้ยหยี่สี่เถี่ยว มาเป็นเกณฑ์ และแต่ละองค์ก็จะมีชื่อให้เรียกขานแตกต่างกัน
          ชาวจีนโดยทั่วไปเชื่อว่า เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา มี อิทธิพลต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นการกราบไหว้บูชา เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา หรือ องค์ไท้ส่วย ทุกๆปี ก็เป็นการเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดปีชง ควรกราบไหว้เพื่อวิงวอนให้องค์ไท้ส่วยคุ้มครองดวงชะตา เสมือนเป็นการฝากดวง  เพื่อสะเดาะเคราะห์ ช่วยให้ร้ายกลายเป็นดี จากหนักกลายเป็นเบา นอกจากนี้ ผู้ใดที่เกิดปีร่วมชงไท้ส่วย ,ปีทับไท้ส่วย,ปีเฮ้งไท้ส่วย,ปีไห่ไท้ส่วยและสุดท้ายคือปีผั่วไท้ส่วย ก็ล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องกราบไหว้องค์ไท้ส่วย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง หากดวงดีอยู่แล้วก็ให้ดวงดียิ่งขึ้น หากดวงตกก็ตกไม่ถึงศูนย์
          องค์ไท้ส่วยที่รับหน้าที่เฝ้าปีในปีพ.ศ. 2556 นี้ ปีมะโรง ตามปีใน 12 นักษัตร มีพระนามว่า ขุนพลฉื่อตัวไต่เจียงกุง(สีตันต้าเจียงจวิน) เทพ คุ้มครองดวงชาตาประจำปีกุ่ยจี๋ หรือปี พ.ศ. 2496, 2556, 2616 ตามความเชื่อโบราณเชื่อว่า พระองค์สามารถบันดาลสุขหรือทุกข์ให้เกิดกับใครคนใดก็ได้ทั้งนั้น แต่เบื้องต้นคนที่ควรไปกราบไหว้บูชาหรือทำการแก้เคล็ดที่สุด เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการดำรงชีวิตและเพื่อให้รอดพ้นจากอิทธิพลร้ายใน ช่วงปี 2556 คือ

1. ผู้ที่เกิดปีกุน

2. ผู้ที่เกิดปีมะเส็ง

3. ผู้ที่เกิดปีขาล

4. ผู้ี่เกิดปีวอก

ฤกษ์แต่งงานปี 2556 ออกแล้วมาดูกันได้เลย


ฤกษ์แต่งงานปี 2556
ฤกษ์แต่งงานปี 2556 มาแล้ว สำหรับคู่รักที่กำลังวางแพลนวิวาห์ไว้ล้วงหน้า ซึ่งฤกษ์แต่งงานปี 2556 นี้ อาจจะต้องใช้ความเชื่อส่วนบุคคลซักนิดนึง โดยฤกษ์แต่งงานปี 2556 มีดังต่อไปนี้….
1 เดือนมงคล คือ เดือน ๑ ๒ ๔ ๖ ๙ และ ๑๒
2 เดือนกลางๆ คือ เดือน ๓ ๗ และ ๑๐
3 เดือนที่ไม่นิยม คือ เดือน ๕ ๘ และ ๑๑ เดือนที่ว่าข้างต้นนี้ เป็นเดือนทางจันทรคติของไทย ไม่ใช่เดือนสากล
วันขึ้น ๗, ๑๐ และ ๑๓ ค่ำ วันแรม ๔, ๗, ๑๐ และ ๑๔ ค่ำ
ฤกษ์แต่งงานปี 2556 (ค.ศ. 2013 ปี ปกติมาส ปกติสุรทิน ปีมะเส็ง)
เดือน ๑๒ = วันพุธ 14 พ.ย. 2555 ถึง วันพฤหัส 13 ธ.ค. 2555
เดือน ๑ = วันศุกร์ 14 ธ.ค. 2555 ถึง วันศุกร์ 11 ม.ค. 2556
เดือน ๒ = วันเสาร์ 12 ม.ค. 2556 ถึง วันอาทิตย์ 10 ก.พ. 2556
(ห้ามไม่เหมาะ) เดือน ๓ = วันจันทร์ ที่ 11 ก.พ. 2556 ถึง วันจันทร์ ที่ 11 มี.ค. 2556
เดือน ๔ = วันอังคารที่ 12 มี.ค. ถึงวันพุธ ที่ 10 เม.ย.
(ไม่นิยม) เดือน ๕ = วันพฤหัส ที่ 11 เม.ย. ถึง วันพฤหัส ที่ 9 พ.ค. เถลิงศก จศ 1375 ปีมะเส็ง 16 เมษายน 05.56 น กาลโยค วัน พฤหัส ธงชัย อาทิตย์ อธิบดี พุธ อุบาทว์ อังคาร โลกาวินาศ ยาม ที่ 1 ธงชัย ที่ 3 อธิบดี 8 อุบาทว์ 7 โลกาวินาศ ราศี พฤษภธงชัย พิจิก อธิบดี เมษ อุบาทว์ มีน โลกาวินาศ ดิถี ขึ้น 13 ธงชัย แรม 4 อธิบดี ขึ้น 12 อุบาทว์ ขึ้น 5 โลกาวินาศ ฤกษ์ 10 ทลิทโท ธงชัย 1 ทลิทโท อธิบดี 9 สมโณ อุบาทว์ 11 มหัทธโน โลกาวินาศ
เดือน ๖ = วันศุกร์ ที่ 10 พ.ค. ถึง วันเสาร์ ที่ 8 มิ.ย.
(ห้ามไม่เหมาะ) เดือน ๗ = วันอาทิตย์ที่ 9 มิ.ย. ถึง วันอาทิตย์ที่ 7 ก.ค.
(ไม่นิยม) เดือน ๘ วันจันทร์ ที่ 8 ก.ค. ถึง วันอังคาร ที่ 6 ส.ค.
เดือน ๙ = วันพุธ ที่ 7 ส.ค. ถึง วันพุธ ที่ 4 ก.ย.
(ห้ามไม่เหมาะ) เดือน ๑๐ = วันพฤหัส ที่ 5 ก.ย. ถึง วันศุกร์ ที่ 4 ต.ค. (ไม่นิยม)
เดือน ๑๑ = วันเสาร์ ที่ 5 ต.ค. ถึง วันเสาร์ ที่ 2 พ.ย.
เดือน ๑๒ = วันอาทิตย์ ที่ 3 พ.ย. ถึง วันจันทร์ ที่ 2 ธ.ค.
เดือน ๑ = วันอังคารที่ 3 ธ.ค. ถึง วันอังคาร ที่ 31 ธ.ค. 2556
ฤกษ์แต่งงานปี 2556
ขอบคุณขอมูลสำหรับฤกษ์แต่งงานปี 2556 : weddinghome

การหาฤกษ์แต่งงาน

การหาฤกษ์แต่งงาน


        
          วิธีให้ฤกษ์ ก็หมายถึงว่า ให้วันที่ เดือนที่ ปีที่เป็นมงคล พอที่จะแต่งงานได้ คือให้วันที่เป็นมงคล เดือนที่เป็นมงคล ปีที่เป็นมงคล เช่น ประเพณีไทยโบราณจะให้ แต่งงานในเดือนคู่ เช่น เดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปด เดือนสิบสอง ถ้าเดือนคี่ก็จะให้แต่งเดือนเก้าได้

          วิธีให้ฤกษ์ในวันนั้นเป็นวันที่สำคัญที่สุด จะต้องมีฤกษ์มอบห้องด้วย ซึ่งในตำราเรียกว่า “ฤกษ์แมลงปอ” (ฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว) ถ้าวันแต่งงานไม่มีฤกษ์มอบห้อง เจ้าบ่าวต้องนอนเฝ้าหอ นี่เป็นประเพณีโบราณที่สุดแล้ว ซึ่งจะกำหนดฤกษ์มอบห้องไว้ตายตัว ในตำราว่าถ้าเป็นวันข้างขึ้น ต้องขึ้น 7 ค่ำ ขึ้น 10 ค่ำ ขึ้น 13 ค่ำ ถ้าเป็นข้างแรมกำหนดไว้ แรม 4 ค่ำ แรม 8 ค่ำ แรม 10 ค่ำ และแรม 14 ค่ำ
          ถ้า ไม่มีวันนี้วันที่กำหนดไว้ แต่งงานจะไม่มีฤกษ์มอบห้อง ถึงฤกษ์อื่นๆ จะดีหมดแต่ฤกษ์มอบห้องไม่ได้ หมอที่ให้ฤกษ์ต้องดูด้วยว่ามีฤกษ์มอบห้องได้หรือเปล่า ถ้ามอบห้องไม่ได้ หมอให้ฤกษ์จะไม่ให้ เพราะมันจะยุ่งยาก ก็ไปเลือกฤกษ์วันที่มอบห้องได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
culture.go.th
โดย : นายอุดม เอี๊ยบทอง
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

พุทธองค์ตรัส(8)...ฤกษ์ยามในพระพุทธศาสนา



... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ยามดี

สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเช้า เวลาเช้าก็เป็นเวลาเช้าที่ดีของสัตว์เหล่านั้น

สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเที่ยงเวลาเที่ยงก็เป็นเวลาที่ดีของสัตว์เหล่านั้น

สัตว์เหล่าใดประพฤติสุจริตด้วยกาย... ด้วยวาจา... ด้วยใจในเวลาเย็น เวลาเย็นก็เป็นเวลาเย็นที่ดีของสัตว์เหล่านั้น..."....สุปุพพัณหสูตร

หมาย เหตุ ฤกษ์ยามเป็นของลัทธิอื่น ที่มิใช่พุทธศาสนา ปัจจุบันมีพิธีต่าง ๆ มากมายที่ไม่ใช่พุทธปะปนอยู่ ทั้งที่ในพระไตรปิฏกมีระบุไว้ชัดแจ้ง .... ทัศนะ

ฤกษ์ดี วันดี ปี 2555

ฤกษ์ดี วันดี ปี 2555

 

โบราณว่า ทำสิ่งใด ให้ดูฤกษ์
ร้านจะเปิด คนจะคลอด ต้องวันไหน
จะบวชนาค แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่
ปีใหม่นี้ ฤกษ์ยามไหน ให้โชคเอย.

เรื่องฤกษ์ยามนั้น เป็นหลักเกณฑ์ที่มีบทบาทอยู่ในธุรกิจและชีวิตประจำวันของคนเราอยู่มาก ตั้งแต่เกิดมาเลยทีเดียว การให้ฤกษ์ที่สมบูรณ์จริง ๆ นั้น มีหลักเกณฑ์มากมายหลายประการ อาทิ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงสอดแทรกไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนพระพรตให้โหรหาฤกษ์ราชาภิเษกพระรามดังนี้

.....บัดนี้ ขุนโหรผู้มียศถา

ก้มเกล้ารับราชบัญชา จับกระดานชนวนมาทันที

แล้วตั้งศักราชลงสองฐาน บวกลบคูณหารตามที่

ขับไล่ใส่สอบทุกคัมภีร์ โดยศรีชันษาพยากรณ์

แล้วเอาชะตาเมืองเข้ามาเปรียบ เทียบกับชะตาพระทรงศร

ทั้งองค์อัฐเคราะห์โคจร ถาวรสถิตเป็นมิตรกัน

เห็นพร้อมแล้วกราบบาทบงสุ์ ทูลพระองค์พระพรตรังสรรค์

ว่าข้างขึ้นสามค่ำวันจันทร์ สิบหกชั้นฤกษ์สี่ดีนัก

จะทำการราชาพิเษก ถึงที่เอกองค์พระยาจักร

มีแต่จำเริญศิริลักษณ์ เป็นหลักโลกาธาราตรี

พิจารณาความตามพระราชนิพนธ์บทนี้ จะเห็นได้ว่า การให้ฤกษ์นั้นนอกจากจะให้ได้ฤกษ์ดีและให้พระเคราะห์ต่าง ๆ อยู่ในตำแหน่งดีและสัมพันธ์ดีต่อกันแล้ว ยังต้องให้สัมพันธ์ดีกับดวงชะตาของผู้ประกอบฤกษ์อีกด้วย ส่วนคำว่า __________________
อิมินา สักกาเรนะ ฉันทะสะระเถรัง ปูเชมิ

ฤกษ์ปลูกบ้าน

ฤกษ์ปลูกบ้าน
โบราณท่านกล่าวไว้ว่า
ปลูกเรือนผิด คิดจนเรือนทลาย
บ้าน ไม่ใช่แค่ที่ให้เราซุกหัวนอนไปวัน ๆ
แต่เป็นรากฐานของชีวิต ให้ดำเนินต่อไปได้
อย่างมั่นคงแข็งแรง หรือจะทรุดซวนเซก็ได้
การปฏิบัติให้ถูกต้องตามฤกษ์ยามแล้ว ก็จะทำให้เกิดศุภมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยไปด้วย ถ้าเป็นบ้านที่เราปลูกสร้างเอง ฤกษ์สำคัญอับดับแรก คือ เวลายกเสาเอก ถ้าเป็นการก่อตึก ฤกษ์ ก็คือ เวลาตอกเสาเข็มเอกต้นแรก แต่ก่อนที่จะวางฤกษ์ ก็ต้องดูวัน เดือน ที่เหมาะสมจะปลูกบ้านก่อน
โหราจารย์ท่านกำหนดเป็นคำกลอนไว้ว่า
ปลูกเรือนวันอาทิตย์                ทุกข์ตามติดทุกวันไป
เร่าร้อนรำคาญใจ                     เกิดแต่ตนพ้นพันทวี
ปลูกเรือนวันจันทร์                  ลาภอนันต์บังเกิดมี
ผ้าผ่อนเงินทองทวี                   แสนเปรมปรีในอุรา
ปลูกเรือนวันอังคาร                 บ่มินานเกิดภยา
อัคคีไหม้เคหา                          วอดวายมาสู่ตน
ปลูกเรือนในวันพุธ                  บริสุทธิจำเริญผล
ลาภยศก็มาดล                          ล้วนแล้วผลพึ่งยินดี
ปลูกเรือนวันพฤหัส                 สุขจำรัสสราญศรี
ลาภานานามี                            เป็นสุขีดีนักหนา
ปลูกเรือนวันศุกร์                     สุขและทุกข์กึ่งอัตรา
เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์นา               ทั้งลาภาไม่ค่อยมี
ปลูกเรือนในวันเสาร์                อย่าดูเบาจงหลีกหนี
ซบเซาเศร้าโศกี                       ตามคัมภีร์โบราณมา
ต่อ จากวัน ก็มาดูเดือนที่เหมาะสมจะปลูกบ้านบ้าง

ปลูกเรือนในเดือน ๖ ลาภอิ่มอกต่างภาษา
สิ่งสินจะพูนมา                      สรรพทรัพย์ก็เนืองนอง
ปลูกเรือนในเดือน ๙               ยศศักดิ์เจ้าก็มั่นคง
สิ่งสินอันจำนง                       สรรพทรัพย์ก็เพิ่มมา
ปลูกเรือนในเดือน ๑๒            เงินทองย่อมเหลือหลาย
ช้างม้าและวัวควาย                 ทั้งมีทาษและทาสี
ปลูกเรือนในเดือนอ้าย (๑)   ย่อมจะได้เป็นเศรษฐี
สิ่งสินจะพูลมี                          เพราะเดือนนี้ต้องเป็นผล
ปลูกเรือนในเดือน ๔              ฤกษ์เดือนนี้ สุขสบาย
ทุกข์โศกบันเทาหาย                ความสบายย่อมพูลมา
จากวัน….จากเดือน ที่โหราจารย์ท่านกล่าว ก็สรุปได้ว่า
วันที่เหมาะสมจะปลูกบ้าน มี สามวัน แค่ วันจันทร์ วันพุธ วันพฤหัสบดี ….เท่านั้น
และในเดือน ๖ เดือน ๙ เดือน ๑๒ เดือน ๑ เดือน ๔ ….เท่านั้น
(เป็นข้อกำหนดตามเดือนทางจันทรคติ)
ได้วัน ได้เดือนแล้ว ก็ไปกำหนดเวลาฤกษ์ดีตามดวงชะตาเจ้าของบ้านต่อไป…
ตรงส่วนนี้ขอแนะนำให้ไปหาโหราจารย์ที่เชี่ยวชาญการวางฤกษ์ยามโดยเฉพาะ
แต่ต้องไม่หนีกฎเกณฑ์วัน เดือน เบื้องต้นตามที่ได้กล่าวมา
เรียบเรียบ โดย อ. ยาย่า สุรัชดา

การให้ฤกษ์ฉบับง่าย โดย “พลูหลวง” 2

                  การวางลัคนาฤกษ์มีกฎเกณฑ์  ดังนี้

          (๑)  กฎเกณฑ์แรก  ท่านห้ามอยู่แล้ว  อย่าให้ลัคนาดวงฤกษ์เป็นอริมรณะและวินาศนะ  กับดวงฤกษ์  ของเจ้าการ  คือผู้ประกอบพิธี  ถ้าเป็นฤกษ์มงคลสมรส  ซึ่งจำต้องดู  ทั้งดวงบ่าวสาวประกอบก็จะต้องอย่าให้ไปอยู่ในตำแหน่ง เป็น ๖ , ๘ และ ๑๒  แก่ลัคนาทั้งสองดวงดังกล่าว
          แต่ก็นั่นแหละกฎเกณฑ์นี้ไม่น่าจะเคร่งครัดให้มากนัก  ด้วยในความจริง  เราคงจะเห็นว่า  มีคู่ผัวตัวเมียหลายคู่  ต่างก็มีลัคนาเป็นอริ  มรณะ  และวินาศต่อกัน  ก็ยังอยู่กันยืดยาว  ที่เป็นเช่นนั้นก็ด้วยในดวงชาตาของคู่เหล่านั้น  ล้วนมีสมพงศ์  ดาว  เช่น  อาทิตย์  ชายสัมพันธ์  กับ  จันทร์ของหญิง   หรือ ดาวตนุลัคน์ของหญิง  หรือมีคาวคู่มิตรอยู่ในราศีเดียวกัน  เป็นต้น
                   ดังนี้ถ้ามีความจำเป็นจริง ๆ  ก็น่าจะพิจารณาถึงดาวตนุลัคน์  (คือเจ้าเรือนลัคนา)  ประกอบด้วย  คือแทนที่จะเอาลัคนาดวงฤกษ์สัมพันธ์กับลัคนาของเจ้าการ  อาจจะเอาไปสัมพันธ์กับตนุลัคน์ของเจ้าการก็ได้

                   ๒.   การวางลัคนาดวงฤกษ์   ก็เหมือนกับการดูดวงชาตาของบุคคลทั่ว ๆ ไปนั้นเอง  ดังนี้กฎเกณฑ์การวางลัคนา  จึงควรระวังอย่าให้ดาวร้ายคือบาปเคราะห์เบียนลัคนา  ด้วยจะทำให้ฤกษ์นั้น  เลื่อมสมรรถภาพไป   จะมากน้อยแค่ไหน  ก็แล้วแต่ว่าจะถูกเบียนมากน้อยแค่ไหน ดังนี้

                   (ก)  อย่าได้บาปเคราะห์ตั้งอยู่ในมุม   กากะบาดกับลัคนาคือเป็น      เป็น     เป็น    และเป็น  ๑๐  แก่ลัคนา
                   ถ้าบาปเคราะห์  ตั้งอยู่   ครบมุมจตุโกณต่อลัคนาอันเป็นมุมกากะบาดเช่นนี้  ถือว่าเป็นการเบียนร้ายแรงที่สุด
                   แม้ไม่ครบมุม ๔  มุม  คือ  เพียงเป็น     หรือเป็น    และเป็น  ๑๐    อย่างเดียว  หรือสองอย่าง  ก็ยังร้ายอยู่
         
                   (ข)  ดังได้กล่าวแล้วว่ามุมจตุโกณ  ถ้าบาปเคราะห์ตั้งอยู่เป็นจุดเบียนมาก  ยิ่งตั้งอยู่ในภพที่  ๑๐  คือภพกัมมะอันเป็นภพที่   ดาวพระเคราะห์ลอยเหนือศีรษะขณะเวลาฤกษ์  ขอแนะให้หลีกเลี่ยงเสีย   ขืนปล่อยฤกษ์แบบนี้ออกไปก็เท่ากับให้ร้ายกับผู้นำฤกษ์นั้นไปใช้นั่นเอง

                   (ค)  อย่าให้บาปเคราะห์  โยคหน้า  หรือโยคหลัง  ลัคนาดวงฤกษ์  ยิ่งโยคครบทั้งสองจุดด้วยแล้วก็ยิ่งร้ายหนัก

          (ง)  อย่าให้บาปเคราะห์  ตั้งอยู่ในมุม  ตรีโกณกับลัคนาดวงฤกษ์  ยิ่งครบสามมุม  คือมีบาปเคราะห์กุมลัคนาอยู่ด้วยแล้วจัดว่าเป็นฤกษ์ร้าย

          ๓.  ดาว  อริ  มรณะ  และวินาศนะ  ของ  ดวงฤกษ์  ไม่ควรให้มากุมลัคนาดวงฤกษ์  หรือ  อยู่ในภพที่สิบ (กัมมะ)  ของดวงฤกษ์ด้วยจะทำให้เกิดผลร้าย   ดังนี้

(ก)     ดาวอริ  จะทำให้เกิดอุปสรรค
(ข)     ดาวมรณะ  จะทำให้เจ็บไข้  พลัดพรากจากกัน
(ค)     ดาววินาศนะ  ไม่ยั่งยืน

          ๔.   อย่าให้  ลัคนา   ดวงฤกษ์  ไปตั้งอยู่ในราศีเดียวกับที่ดาวมรณะของเจ้าการเป็นอันขาด  จะทำให้ฤกษ์ไร้ผล

                   ๕.  มุมร้ายแรง   นอกจาก   ที่พรรณาในข้อสองแล้วนั้น    ยังมีอีกสองมุม  คือ
                   (ก)  บาปเคราะห์  กุมลัคนาฤกษ์โดยมีบาปเคราะห์ไปตั้งอยู่ในภพที่    และ    กับลัคนาของดวงฤกษ์   เรียกว่ามุมปลายหอกให้โทษร้ายแรงยิ่งนัก  ควรเลี่ยง

                   (ข)  บาปเคราะห์  อยู่ขนาบหน้า  หลัง  ลัคนาฤกษ์  คือเป็น    และเป็น  ๑๒  เรียกว่าถูกบาปเคราะห์บีบ  เป็นการเข้าจุดอับ  ทำการใด ๆ ไม่เป็นผล
                  
                   (ค)  บาปเคราะห์  ขนาบหน้า  หลังลัคนา  แล้วยังมีบาปเคราะห์เล็งอีกดวงหนึ่ง  ร้ายนัก  อย่าให้ฤกษ์เช่นนี้   เดือดร้อนเหลือประมาณ

                   ๖.   ขณะที่ดาวบาปเคราะห์กำลังโคจร  ติดต่อกัน  ๓,๔,๕  ราศี  เช่นนี้   อย่าได้วางลัคนาดวงฤกษ์ลงไปในขบวนดาวร้าย  เช่นนี้  เป็นอันขาดด้วยเป็นจุดอันตราย  จะเกิดผลร้ายในอนาคต

                   ๗.  ตนุลัคน์  ของดวงฤกษ์  มีความสำคัญมาก  ถ้าจะวางลัคนาลงในราศีใด  ต้องตรวจดูเสียก่อนว่า  ดาวเกษตร  หรือ  เจ้าของราศีนั้น  ไปตั้งอยู่ในจุดอันตรายหรือเปล่า   เช่น
                   (ก)  ถูกบาปเคราะห์   บีบหน้าหลัง
                   (ข)  ถูกบาปเคราะห์   กุม  หรือเล็ง
(ค)  ถูกบาปเคราะห์   จตุโกณ  หรือตรีโกณ  หรือ โยค  ครบทุกมุม
(ง)      กุม  ดาว  อริ  หรือ มรณะ  หรือ วินาศนะ
ถ้าเป็นเช่นนี้  แสดงว่าดวงฤกษ์ของท่าน  เป็นดวงให้โทษควรหลีกเลี่ยง
                   (กฎเกณฑ์นี้    ใช้กับดาวเกษตรใหม่โดยเฉพาะ เกษตรใหม่คือ  อาทิตย์อยู่สิงห์,  พุธกันย์,   ศุกร์ตุลย์,  อังคารพิจิก,  พฤหัสบดีธนุ,  เสาร์มังกร,  มฤตยูกุมภ์,  เนปจูนมีน,  พลูโตเมษ,  ราหูพฤษภ  และเกตุเมถุน)

          ๘.  ต้องดูว่าฤกษ์  เป็นธาตุุอะไร  ก็จะต้องวางลัคนาให้ถูกกับราศีธาตุุนั้น  เช่นฤกษ์เปิดร้านขายเครื่องก่อสร้าง   อันเป็นธาตุุดินก็วางลัคนาราศีธาตุุดินจะเหมาะสมกันมาก   หากไปวางลัคนาในราศีธาตุุน้ำจะทำให้เกิดการเสียหายได้
                   ฤกษ์เปิดร้านขายเครื่องสำอางค์   อันเป็นธาตุุลม  ก็ต้องวางลัคนาในราศีธาตุุลม  จึงจะเหมาะ
                   ร้านขายน้ำมันเบนซิน  อย่าไปวางลัคนาราศีธาตุุไฟ  ดังนี้เป็นต้น

                   ๙.   ดาวเจ้าการของฤกษ์มีความสำคัญมาก  จะขอ  พรรณาเป็นสังเขป  ดังนี้
                   ดาวอาทิตย์  หมายถึง  ความมั่นคง  จะปลูกบ้าน  แต่งงาน  เปิดห้าง  ธนาคาร  วางหลักเมือง  ยกเสาเอก  ฯลฯ   จะต้องประคองดาวอาทิตย์ให้เด่น  อย่าให้ไปอยู่ในภพทุสถานะแก่ลัคนาดวงฤกษ์เป็นอันขาด

                   ถ้าขณะนั้น  ดาวอาทิตย์กำลังโคจรอยู่ในกลุ่มดาวบาปเคราะห์หรือกำลังโคจร  เป็นประ  เป็นนิจ  ก็ควรรอให้ดาวอาทิตย์เดินดีเสียก่อนจึงให้ฤกษ์จะเป็นการถูกต้อง
                   ดาวจันทร์   หมายถึง   เสน่ห์  ความนิยม  สตรีเพศ  เมตตา  มหานิยม  การวางฤกษ์ร้านค้าเครื่องสำอางค์  ร้านตัดเสือสตรี  การสมาคม  ฯลฯ   จะต้องประคองดาวจันทร์ให้เด่น  อย่าให้ไปอยู่ในจุดด้อยหรือจุดอับ
                   ดาวศุกร์  หมายถึง   ความรัก   การแต่งงาน  แสดงแฟชั่น  แสดงภาพยนตร์  ทีวี   และแสดงงานศิลปกรรม  ดวงฤกษ์สำหรับการต่าง ๆ   ดังกล่าวมาแล้วนั้น   จะต้องประคองดาวศุกร์ให้เด่น   และมีความสำคัญในดวงฤกษ์   ห้ามวางไว้ในภพทุสถานะ  เป็น  ๖,  ๘,  ๑๒  แก่ดวงฤกษ์)
                   ดาวมฤตยู  หมายถึง การเดินทาง  การเสี่ยงโชค  การปฏิวัติรัฐประหาร  การค้นคว้า  การออกสำรวจ  ยานพาหะนะ  ถ้าให้ฤกษ์เกี่ยวกับกิจการชนิดนี้จะต้องเชิดชูดาวมฤตยูไว้  ในที่อันเด่น  ยิ่งดีเด่นเท่าไร  (หมายถึง  คอยให้มีดาวศุภเคราะห์  สัมพันธ์  ถึงมาก ๆ)  ก็จะยิ่งทำให้กิจการนั้น ๆ ประสบความสำเร็จ  ความมั่นคงยิ่งขึ้น
                   ดาวราหู  หมายถึง  ของมัวเมา  ผิดกฏหมาย  ของหนีภาษี  เป็นเจ้าการสำหรับการนี้  ควรให้มีความสัมพันธ์  กับดาวตนุลัคน์ของดวงฤกษ์ไว้  จึงจะดี
                   แต่ก็ควรระวังด้วยราหูเป็นบาปเคราะห์  การจะตั้งราหูไว้ในมุมอันเบียนลัคนาก็จะเกิดโทษด้วย  (ดูกฎเกณฑ์ข้อ  ๒)
                   ดาวอังคาร  หมายถึง  อาวุธ  การต่อสู้  ทหาร  ตำรวจ
                   ฤกษ์เปิดสถานีตำรวจ,  โรงอาหาร,  โรงสรรพวุธ,  ร้านขายอาวุธ  หรือกิจการเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  จะต้องประคองดาวอังคารไว้ให้เด่นเสมอจึงจะเจริญดี

                   ดาวพุธ  หมายถึง  หนังสือพิมพ์,  หนังสือ,  ร้านขายหนังสือ,  การเซ็นสัญญา,  การเจรจา, โฆษก,  การโฆษณา,  การติดต่อ  การวาฤกษ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ดาวพุธจะมีบทบาทรุนแรงและจะต้องเด่น  ยิ่งเด่นเท่าไรความสำเร็จ ความดีเด่นจะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
                   ดาวพฤหัสบดี  หมายถึง  การศึกษา,  การเริ่มเรียนวิชาการต่าง ๆ,  โรงเรียน,  ธนาคาร,  ร้านขายอุปกรณ์การสอบ,  องค์การการกุศล,  สถานสาธารณะ,  การประชุมใหญ่,  วัด,  และสถานที่ทำงานรัฐบาล  ดาวพฤหัสบดีจะมีบทบาทในการนี้โดยตรง
                   ดาวเสาร์  หมายถึงโรงงาน,  โกดังสินค้า,  โรงงานอุตสาหกรรมหนัก,  สมาคมกรรมกร,  ร้านชำ,  สมาคมฌาปนกิจ
                   ดาวเกตุ  หมาถึง  ของโบราณ,  วัดวาอาราม, สิ่งศักดิ์สิทธิ์,  จิตศาสตร์,  สถานที่อันปกปิดเร้นลับ,  วิทยากล  สิ่งแปลก ๆ,  สถานที่คนพิการ,  คนแก่
                   ดาวเนปจูน  หมายถึง  ทหารเรือ,  ท่าเรือ,  เรือ, สัทธิสังคมนิยม,  งานมหาสมาคม,  โรงภาพยนตร์, หอประชุม,  ศาลาการเปรียญ,  แพทย์แผนโบราณ,  ไสยศาสตร์,  สมุนไพร,  น้ำมันเชื้อเพลิง,  โรงกลั่นน้ำมัน,  สถานที่ใกล้น้ำ
                   ดาวพลูโต  หมายถึง  แพทย์  คลินิก,  โรงพยาบาล  สถานวิปัสสนา,  สำนักสงฆ์  วัด,  โหราศาสตร์  การพยากรณ์  ร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์,  ธนาคาร,  การคลัง,  เหมืองแร่,  โบราณคดี,  โบราณวัตถุสถาน,  พิพิธภัณฑ์สถาน

                   ๑๐.   จากกฎเกณฑ์ข้อ ๖   เราจะนำไปปรับเช้ากับฤกษ์อันเป็นเจ้าการต่าง ๆ  อันมี    หมวดดังนี้
                   ดาวอาทิตย์    คือ      ราชาฤกษ์                ธาตุุ    ไฟ
                   ดาวจันทร์       ²        เทวีฤกษ์                  ²        น้ำ
                   ดาวอังคาร     ²        เพชฌฆาตฤกษ์         ²         น้ำ
                   ดาวพุธ          ²        ภูมิปาโลฤกษ์            ²        ดิน
                   ดาวพฤหัสบดี  ²        มหัทโนฤกษ์             ²        ไฟ
                   ดาวศุกร์         ²        เทศาตรีฤกษ์             ²        ลม
                   ดาวเสาร์        ²        ทลิทโทฤกษ์             ²        ดิน
                   ดาวมฤตยู      ²        โจโรฤกษ์                ²         ลม
                   ดาวเนปจูน     ²        เทวีฤกษ์                  ²         น้ำ
                   ดาวพลูโต      ²        สมโณฤกษ์              ²         ไฟ

                   ที่จริงดาวพระเคราะห์ในสุริยะระบบ   คือ  อาทิตย์ และบริวารมีรวมกันเป็นเพียง    ดวงเท่านั้น  จึงเข้าครองฤกษ์ทั้ง    หมวดจนครบ  ส่วนจันทร์มิใช่ดาวพระเคราะห์   หากเป็นเพียงบริวารของโลก   ซึ่งเป็นดาวพระเคราะห์   จันทร์จึงเป็นเพียงตัวแทนของดาวพระเคราะห์  โลกเท่านั้น  จัดให้ครองหมวดเทวีฤกษ์  คู่กับเนปจูน  ส่วนดาวอาทิตย์นั้นเป็นธาตุุไฟโดยกำเนิด  และเป็นประธานของดาวพระเคราะห์ทั้งมวล  จึงน่าจะแยกออกมาต่างหาก   แต่อาทิตย์เป็นพระราชาจึงเหมาะสมในการเป็นราชาฤกษ์อันเป็นฤกษ์ใหญ่กว่าฤกษ์ทั้งปวง   จึงทำให้ฤกษ์ธาตุุไฟมีถึงสามมากกว่าหมวดอื่นทั้งหมด   ถ้าจะจัดหมวดฤกษ์ตามลำดับ  และเพศของดาวพระเคราะห์กับสภาพบวกและลบแล้วจะเป็นไปในรูปดังนี้





หมวดฤกษ์


ดาวพระเคราะห์


ธาตุุ

สภาพบวกและลบ

เพศ
ทลิทโท
เสาร์
ดิน
+
ชาย
มหัทธโน
พฤหัสบดี
ไฟ
+
ชาย
โจโร
มฤตยู
ลม
-
หญิง
ภูมิปาโล
พุธ
ดิน
+
ชาย
เทศาตรี
ศุกร์
ลม
-
หญิง
เทวี
เนปจูน
น้ำ
-
หญิง
เพชฌฆาต
อังคาร
น้ำ
-
หญิง
ราชา
สมโณ
พลูโต
อาทิตย์
ไฟ
ไฟ
+
+
ชาย
ชาย


                 กล่าวง่ายๆ ก็คือธาตุไฟกับดินเป็นเพศชายฝ่ายบวก ส่วนธาตุน้ำกลับลมเป็นเพศหญิงฝ่ายลม

ส่วน ราหูกับเกตุเป็นจุดคำนวณ ในการเกิดคราสไม่ใช่ดาวจึงไม่มีสิทธิครองฤกษ์ แต่อนุโลมให้ราหูครองราศีพฤษภธาตุดินเพศชาย และเกตุครองราศีเมถุนธาตุลมเพศหญิงไปก่อน จนกว่าจะมีการค้นพบดาวพระเคราะห์วงนอกถัดจากดาวพลูโตออกไป จึงจะได้นำมาครองราศีถัดไปคือพฤษภและเมถุนตามลำดับ

การจัดธาตุของดาวพระเคราะห์  ได้จัดตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ดาวใดเป็นเกษตรราศีธาตุใดก็จะเป็นธาตุนั้น และเป็นพระเคราะห์เรือนเดียวบริสุทธิ์โดยแท้ดังนี้

                  
 ดังนี้จึงเห็นได้ว่าหมวดฤกษ์ที่เป็นธาตุเดียวกันย่อมจะเข้ากันได้ดังนี้
          ธาตุไฟ   สมโณฤกษ์,  ราชาฤกษ์,  มหัทธโณฤกษ์ (เพศชาย  ฝ่ายบวก)
          ธาตุดิน   ทริทโธฤกษ์,  ภูมิปาโลฤกษ์ (เพศชาย  ฝ่ายบวก)
          ธาตุลม   เทศาตรีฤกษ์,  โจโรฤกษ์ (เพศหญิง  ฝ่ายลบ)
          ธาตุน้ำ   เพชฌฆาตฤกษ์,  เทวีฤกษ์ (เพศหญิง  ฝ่ายลบ)
          ตามทฤษฎีของดาวพระเคราะห์เป็นเกษตรครองเรือนเดียวเช่นนี้  ตรงตามหลักการ  ดาราศาสตร์  และวิทยาศาสตร์
          ในการหาฤกษ์  ถ้าฤกษ์ต้องประสงค์ยังไม่ได้จังหวะแต่จำเป็นจะต้องการฤกษ์โดยด่วน  ก็ย่อมจะเอาฤกษ์ประเภทธาตุเดียวกันมาทดแทนกันได้  หรือจำเป็นที่สุดก็เพศเดียวกันแทนกันได้
          ๑๑.  จากกฎเกณฑ์ข้อ ๑๐  ที่ผ่านมา  เมื่อเราได้ทราบถึงเพศและสภาพบากและลบของหมวดฤกษ์แล้ว  ก็อาจจะทดแทนกันได้ถ้าเกิดความจำเป็นดังนี้  เช่น
          ฤกษ์เปิดธนาคาร  เป็นที่สังเกตว่า  ลักษณะของธนาคารคือ  การนำเงินเข้ามาฝากธนาคาร  มาเก็บสะสมไว้เป็นลักษณะอาการบวก  โดยกฎเกณฑ์แล้วเราจะต้องใช้มหัทธโนฤกษ์  แต่เนื่องจากความจำเป็นจะรอช้ามิได้เราก็จะต้องนำฤกษ์ธาตุไฟด้วยกันมาทดแทน  คือ  ราชาฤกษ์และสมโณฤกษ์  ซึ่งล้วนเป็นฤกษ์ฝ่ายบวกด้วยกันทั้งสิ้น
          และห้ามนำฤกษ์ฝ่ายลบ  มาใช้ในกิจการธนาคารเป็นอันขาดด้วย  ลักษณะลบไม่ต้องโฉลกกับกิจการธนาคาร
          เป็นที่น่าประหลาดว่า  ในลัทธิตันตระ  หรือรหัสวิทยาถือว่าธาตุไฟคือความร่ำรวย  และทรัพย์สมบัติ  มีในคัมภีร์ต่างๆ  ทุกชาติทุกศาสนา  เช่นวันดีคืนดีตรงที่ใดมีทรัพย์สมบัติฝังอยู่  มักจะมีสัญลักษณ์ของไฟลุกขึ้นตรงบริเวณนั้น
          ดังนั้น  ในการดูดวงชาตาของบุคคล  ให้พึงสังเกตุว่าบุคคลใดจะเก็บทรัพย์อยู่  จะร่ำรวย  มักมีดาวธาตุไฟเด่น  หรือดาวอาทิตย์,  พฤหัสบดีกับพลูโตอยู่ในตำแหน่งที่ดี  หรือได้รับโยคเกณฑ์ที่ดี
          ฤกษ์การยกทัพ  การออกสำรวจ  การค้นคว้า  การจู่โจม  อันเป็นลักษณธการเคลื่อนออก  การกระจายตัว  จัดเป็นฝ่ายลบ  ส่วนใหญ่เรามักจะใช้  โจโรฤกษ์  ธาตุลมอันเป็นฤกษ์เหมาะสมที่สุด  ในการเอารถออกจากอู่  การเดินทางไกล  การปรับปรุงแก้ไข  การปฏิวัติ  จำเป็นจะต้องใช้ฤกษ์นี้  จึงจะสำเร็จ  ตามลักษณะอาการลบ  ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เวลากระทันหันจะรอโจโรฤกษ์มิได้  ก็ต้องใช้เทศาตรีฤกษ์แทน  ด้วยเป็นธาตุลมเป็นฝ่ายลบเหมือนกัน
          มีข้อคิดที่ควรจดจำก็คือ  ห้ามใช้ฤกษ์ฝ่ายบวกเป็นอันขาด  ด้วยเป็นอาการที่ไม่ต้องโฉลกกับกิจการที่กระทำเคยเห็นมามากผู้กระทำการปฏิวัติล้มเหลว  ก็เพราะไปใช้ฤกษ์บวก  เช่น  ราชาฤกษ์,  มหัทธโมฤกษ์  หรือภูมิปาโลฤกษ์  จึงผิดพลาด  และผิดหวังอย่างไม่เป็นท่า
          นี่เป็นเคล็ดสำคัญ  การหาฤกษ์หายาม  จะต้องมีความรู้อย่างลึกซึ้ง  จะต้องรู้วิธีการเรียนผูกและเรียนแก้กล่าวตามภาษาชาวบ้านก็คือ  จะผู้กต้องใช้บวก  จะแก้ต้องใช้ลบ  ใครใช้ไม่เป็นอย่าได้ดำริไปให้ฤกษ์ยามในการใหญ่ๆ เป็นอันขาด จะพาให้ผู้อื่นฉิบหายวายป่วงไปหมด
          การสงครามการทำลายล้าง  ก็เหมือนกับเอาน้ำสาดไปยังกองดินหรือกองทรายให้ทะเลลงไปราบอย่างนั้นแหละบ่งถึงว่าเป็ฯสภาพลบ  ตรงกับสภาพปรัชญาของฮินดูโบราณคือ
          พระศิวะ  หรือพระอิศวร  ทรงสถิตบนยอดเขาไกรลาศ  ผู้ผดุงรักษาโลก  ผู้ให้  ท่านเป็นธาตุดินโดยสภาพธรรมชาติ  และธาตุไฟเพราะมีฤทธิ์มาก  มีตาที่สามเป็นไฟเผาผลาญใดๆ ได้
          ส่วนพระวิษณุ  หรือพระนารายณ์นั้น  ปกติท่านประทับบรรทมบนขนดหลังพญานาควาสุกรี  กลางมหาสมุทรที่เรียกว่าเกษียรสมุทร  ท่านเป็นธาตุน้ำ  เป็นฝ่ายทำลาย  เมื่อใดที่เกิดยุคเข็ญขึ้นบนโลก  ก็จะมีเทวดามาเป่าสังข์ปลุกให้ทรงตื่นบรรทม  และอวตารลงไปทำลายล้างโลกอันวุ่นวายจนสงบราบคาบ  พระองค์เป็นเจ้าแห่งการทำลายหรือการสงครามโดยแท้
          เห็นได้ว่าธาตุน้ำเป็นธาตุการทำลายและการสงครามโดยตรง  ในกิจการเกี่ยวกับทหารหรือตำรวจ  จึงต้องใช้เพชฒฆาตฤกษ์  ธาตุน้ำ  แต่ถ้ามีความจำเป็นอันรีบด่วนก็ใช้เทวีฤกษ์แทนได  ด้วยเป็นธาตุน้ำเหมือนกัน
          ดาวเนปจูนเจ้าสมุทร  ครองหมวดเทวีฤกษ์  เทวีฤกษ์เป็นฤกษ์แห่งความสวยงาม  ความลมุนละไม  เป็นธาตุน้ำ  ฝ่ายลบ  และเป็นเพศหญิง  แต่ตามทฤษฎีรหัสวิทยากล่าวว่า  เพศหญิงนี้มีสองภาค  อีกภาคหนึ่งเป็นภาคอันดุร้าย  และเก่งกล้าโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสิ่งใดๆ  ในโลก  ดังเช่น
          พระนางอุมาเทวีของพระอิศวร  อีกภาคหนึ่งคือ  พระนางกาลีที่ดุร้าย  ร้ายกาจที่สุด  ชอบการสังเวยโลหิตสดๆ  ขอบในการฆ่า
          พระนางจูโนในเทพนิยายของกรีก  พระนางเธอเป็นชายาของเทพบิตรจูปิเตอร์  ซึ่งมีความงามเป็นเยี่ยมแต่พระนางมีความหึงหวงที่สุด  ทรงติดตามพิฆาตศัตรู คือ ชายาลับของสามี  อย่างโหดเหี้ยมที่สุด  แม้พระสวามีเองก็ช่วยแก้ไขไม่ได้  ด้วยพระนางจูโนมีฤทธิ์และดุร้ายมาก
          นั่นคือเทวนิยายที่เกิดจากศาสนาดึกดำบรรพ์  แต่ในสภาพของความเป็นจริงนั้น  เราเคยมีมหาราชินีแห่งรัสเซีย  และพระนางวิคทอเรียแห่งอังกฤษ
          ไม่เคยมีสมัยใดในประวัติศาสตร์ทั้งสองชาติ  ที่ประเทศของตนได้กลายเป็นมหาอำนาจน่าเกรงขาม  และ มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกรยิ่งไปกว่าในรัชสมัยของสองพระนางเป็นสมัยที่เต็มไป ด้วยการแผ่อำนาจ การสงครามการนองเลือด จนราชอาณาจักรของสองแผ่นดินแผ่ไปได้ไกลกว้างขวางที่สุดยิ่งกว่ากษัตริย์ใด ได้เคยทำมา
          นี่คืออำนาจอันร้ายกาจของนางพญา  และนี่เองคือเทวีฤกษืที่มีฤทธิ์เดช  อันมีดาวเนปจูนครองฤกษ์อยู่
          ดังนี้ฤกษ์เกี่ยวกับทหาร  ตำรวจ  และผู้ถืออาวุธการประกาศสงคราม  จึงมีฤกษ์ที่เหมาะสมอยู่สองฤกษ์คือเพชฌฆาตฤกษ์  และเทวีฤกษ์ อันเป็นธาตุน้ำ  และเพศหญิงทั้งคู่  ซึ่งเป็นฝ่ายลบ
          ๑๒.  ยังมีราหูกับเกตุอีกสองดาว  แม้จะมิใช่ดาวพระเคราะห์แต่ก็มีพลังอำนาจมาก  จะพออนุโลมให้ครองหมวดฤกษ์อะไร  ข้อนี้ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า
          ราหูเป็นจุดคราส  บังแสงสว่างของอาทิตย์ได้  เป็นธาตุดิน  จึงควรครองหมวดภูมิปาโลฤกษ์  ขณะเดียวกับเกตุคราสน้อย  ก็ครองหมวดโจโรฤกษ์  ธาตุลม  ด้วยมิใช่จุดคราสโดยตรงแต่เป็นจุดสมมติ  ซึ่งมีผลและทำให้จิตใจหวั่นไหวได้
          คำถาม  คำตอบเกี่ยวกับการให้ฤกษ์
          ๑.  ถาม  การให้ฤกษ์  ในสมัยก่อนท่านเคร่งครัดในเรื่องดิถีกับกฎเกณฑ์อื่นๆ  อีกมาก  ถ้าเราจะตัดกฎเกณฑ์ทิ้งไปเสียโดยเห็นว่าขณะนั้นดวงดาวกำลังเดินเข้าแง่มุมที่ดีซึ่งกันและกัน  สมควรจะวางลัคนาให้เกิดประโยชน์  หรือว่าต้องรอดิถีกับกฎเกณฑ์อื่นๆ  ให้ถูกต้องเสียก่อน
               ตอบ  ตามทรรศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า  ประเภทของหมวดฤกษ์อันเหมาะแก่การทำการ  กับโยคเกณฑ์ของดวงดาวมีความสำคัญกว่ากฎเกณฑ์เล็กๆ  น้อยนั้น  ด้วยการดูดิถีก็ดี  การเลือกวันก็ดี  เป็นกฎเกณฑ์อันกว้างๆ สำหรับการให้ฤกษ์  โดยมิได้ใช้ดวงดาวเข้าประกอบ  ถ้าจะให้ได้ผลดีทางดวงดาวแล้ว  ก็ควรงดความเคร่งไนกฎเกณฑ์เสียบ้าง  และต้องถือว่าจังหวะของดวงดาวสำคัญกว่า

          ๒.  ถาม  เรื่องการให้ฤกษ์นี้  โบราณท่านสาปแช่งไว้ในบางตำราที่มิได้เคร่งตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้
               ตอบ  ท่านสาปแช่งไว้  ก็ด้วยเหตุว่า  การให้ฤกษ์นั้นเป็นศิลปสูงสุดในวิชาโหราศาสตร์  ผู้ให้ฤกษ์ยามจะทำชุ่ยๆ  ส่งเดชมิได้  จะต้องทำจิตใจให้สูง  และปรารถนาดีแก่ผู้จะทำการ  แต่เมื่อผู้ให้ฤกษ์ได้รู้ซึ้งในวิชาการดีพอรู้ถึงน้ำหนักคุและโทษ  โดยปรารถนาจะให้เกิดโทษน้อยที่สุด  ไม่ประสงค์จะทำให้ผู้ใช้ฤกษ์เดือดร้อน  วิธีนี้แม้จะฝืนตำราก็ไม่เกิดโทษแต่อย่างไร  เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆ ย่อมมีข้อยกเว้นโดยเห็นความจำเป็นที่มีคุณค่าสูงกว่าเข้ามาทดแทนกัน

๓.  ถาม  ผู้ที่ยังไม่จัดเจนทางโหราศาสตร์ดีพอ  พอจะหาฤกษ์ได้ไหม
               ตอบ  ก็ควรให้ฤกษ์ไปตามความรู้  และกฎเกณฑ์ของตำราที่รู้มา  ย่อมเกิดผลร้ายน้อยกว่าการทำการใดไปโดยส่งเดช  แต่ในฤกษ์สำคัญ เช่นฤกษ์มงคลต่างๆ หรือฤกษ์ระดับสำคัญที่ต้องเสี่ยงเกี่ยวกับความเป็นความตายของผู้คนแล้ว  ถ้ารู้ไม่พอ  ไม่ควรให้ฤกษ์เป็นอันขาด  เพราะฤกษ์ระดับชาติเช่นนั้น  ผู้วางฤกษ์จะต้องรู้ลึกซึ้ง และศึกษาคัมภีร์มากมายหลายปกรณ์  และต้องเจนจบในอาถรรพณ์ศาสตร์อีกด้วย

 ถาม  ระชาฤกษ์ เทวีฤกษ์  และภูมิปาโลฤกษ์สามหมวดฤกษ์นี้  เคยมีผู้กล่าวว่าใช้ได้ในกิจการมงคลทุกรกรณีย์ อยากทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร
               ตอบ  ข้อเท็จจริงก็คือ  สามหมวดฤกษ์นี้จะใช้ในงานมงคลไม่ได้ทุกข์กรณีย์  ความเป็นจริงก็คือ  ไม่ว่าฤกษ์จะสูงปานใดถ้าใช้ผิดประเภท กลับให้ผลร้ายแรงยิ่งนัก
          เช่นเอาราชาฤกษ์ไปเปิดร้านชำเล็กๆ มีผลถึงแก่ฉิบหายขายตน  บางคนเอาฤกษ์นี้ไปเปิดไนท์คลับ  ตามความจริงที่ได้เห็นมาปรากฏว่า  ไนท์คลับนั้นภายหลังไฟไหม้  และเจ้าของต้องล้มละลายไปในที่สุด
          การใช้ฤกษ์ถูกประเภท  เป็นศิลปอันสูงส่ง  และสำคัญมาก  และในทางตรงกันข้ามกับคำถามที่ถามมา  ผู้ที่ชำนาญการให้ฤกษ์  เขาจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้สามฤก์นั้นในงานมงคล  เว้นเสียแต่ว่าจะจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ส่วนกฎเกณฑ์ในการเลือกฤกษ์นั้น  ได้พรรณาอย่างละเอียดไว้แล้วข้างต้น

๕.  ถาม  การให้ฤกษ์จำเป็นจะต้องดูดวงชาตาของผู้มาขอฤกษ์เสียก่อน  จริงไหม
               ตอบ  ถูกต้อง  เราจะต้องดูดวงชาตาของผู้ทำการว่าเขามีเกณฑ์นั้นๆ หรือเปล่า  เช่น แต่งงาน,  ขึ้นบ้านใหม่,  ปลูกบ้าน  หรือหมั้นหมาย  ถ้าดวงชาตาของเขามีเกณฑ์ดีสอดคล้องกับการขอฤกษ์ยาม  ก็จะต้องวางฤกษ์ให้มีดวงดาวส่งเสริมให้เขาทำการสำเร็จด้วย  เพราะถ้าไม่ สอดคล้อง บางทีอาจจะมีอุปสรรคมาขัดขวางได้
          เช่นฤกษ์เดินทาง  ถ้าเกณฑ์ดวงของเขาไม่มีการเดินทาง  ให้ฤกษ์ไปก็เป็นหมัน  เป็นการเปล่าประโยชน์
         
๖.  ถาม  การให้ฤกษ์  ต้องดูวาสนาของบุคคลจริงไหม
               ตอบ  ถูกแล้ว

          
๗.  ถาม  ในดวงของบุคคล  ซึ่งมองเห็นแล้วว่าทำการปฏิวัติไม่สำเร็จ  แต่เราจะช่วยด้วยวิธีการให้ฤกษ์จะสำเร็จไหม
      ตอบ  ไม่สำเร็จ  ดังได้ย้ำแล้วว่าต้องดูวาสนาของคน

          ๘.  ถาม  บุคคลผู้หนึ่งต้องการฤกษ์  เพื่อร่วมหุ้นส่วนกันตั้งร้านค้า  หรือกิจกรรมต่างๆ  แต่ถ้าในดวงของเขาบ่งว่าไม่ได้รับความสำเร็จทางการงานในปีนั้น สมควรจะให้ฤกษ์ไปไหม
               ตอบ  ไม่สมควรให้ฤกษ์  เพราะฤกษ์จะฝืนอำนาจฟ้าดินไม่ได้  ฤกษ์เป็นเพียงเครื่องช่วย  หรืออุปการะเท่านั้น

          ๙.  ถาม  การวางลัคนาฤกษ์  ต้องวางอย่าให้ตรงกับนวางค์ร้ายหรือตรียางค์ลูกพิษ  หรือนวางค์กับตรียางค์  อริ,  มรณะ  และวินาศนะ  ใช่ไหม
               ตอบ  ถูกแล้ว  ข้อนี้เป็นกฎเกณฑ์สำคัญของคนโบราณ  จะต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด

          ๑๐. ถาม  บางคนไม่ถือฤกษ์ยาม  ดังเช่นท่านผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งสั่งเปิดรัฐสภาที่สั่งขึ้นเสร็จใหม่ๆ  โดยไม่เอาฤกษ์ยามเลย  โดยให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญหลายต่อหลายฉบับล้วนแต่ให้ฤกษ์อย่างวิเศษกันทั้งนั้น  แต่ก็ต้องถูกลบล้างไปหมด  ข้อนี้ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร
          ตอบ  นั่นเป็นการกระทำโง่ๆ  ทุกชาติทุกภาษาเขาทำงานใหญ่ก็ต้องมีฤกษ์ยามกันทั้งนั้น  ผลก็เห็นกันอยู่แล้วว่ารัฐสภาวุ่นวายปานใด  รัฐบาลก็อยู่ไม่ยืดเยื้อเหมือนเดิม  อีกประการหนึ่งที่กล่าวว่ารัฐธรรมนูญมีการให้ฤกษ์แต่ละครั้ง  ข้อนี้ก็ต้องพิจารณากันก่อนว่าฤาษ์นั้นดีเพียงไรมิใช่ว่าผู้ให้ฤกษ์เป็นคนมีชื่อเสียงแล้วฤกษ์จะดีวิเศษเสมอไป  จะต้องเอากฎเกณฑ์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นเข้าตรวจ
          ข้อสำคัญมันเกี่ยวกับอำนาจของดวงดาว  กล่าวคือในช่วงปีนั้นๆ  บังเอิญดาบาปเคราะห์เกิดเล็งกันหรือกุมกันหรือทามุมจตุโกณต่อกัน  หรือ  เดินแถวเรียงกันหลายราศี  ถ้าดาวโคจรในรูปเช่นนี้แม้ว่าจะมีการให้ฤกษ์ดีก็ดีไม่ตลอด  ด้วยแง่มุมของดวงดาวอันเกิดโทษนั้นๆ  มีส่วนบั่นทอนและโทษ

๑๒. ถาม  ฤกษ์ทำการของบุคคล  จำเป็นต้องรอดาวบ้างไหม
                 ตอบ   จำเป็นมาก  เช่นดาวศุกร์เป็นดาวเจ้าการของความรัก  การแต่งงาน  ถ้าขณะนั้นดาวศุกร์กำลังเดินกุมกับดาวเสาร์คู่ศัตรู  หรือเดินเล็งกับดาวเสาร์อยู่  ขืนให้ฤกษ์ไปแม้ฤกษ์จะดีก็ไม่วายจะเกิดการหย่าร้าง  หรือเกิดอาเพทในภายหลัง  ด้วยดาวเจ้าการถูกเบียนอย่างรุนแรงถึงปานนั้นจะส่งคุณประโยชน์อันยั่งยืนได้อย่างไรกัน  โหรที่ฉลาดจะต้องรอดาวศุกร์ให้เดินพ้นจุดเสียหายนั้นและจะไม่ยอมให้ฤกษ์แต่งงานหรือการสู่ขอหมั้นหมายกันอย่างเด็ดขาด

๑๓. ถาม  ดาวบางคู่จะอยู่ในจุดตรึงกันเกินกว่าสองปีขึ้นไปหรือมากกว่านั้น เช่น  เสาร์กุมมฤตยูหรือเล็งดาวเนปจูน  แบบนี้ถ้าจะรอให้ฤกษ์ดีจริงๆ  ก็ต้องรอกันนานมาก  และความจำเป็นที่จะต้องทำการรอช้าไม่ได้  แบบนี้ก็จำเป็นต้องให้ฤกษ์ไป  ดาวเช่นนี้มีส่วนเบียนดาวฤกษ์ใช่ไหม
                 ตอบ  เป็นของน่นอน  และก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย  ผู้ให้ฤกษ์จะต้องใช้ศิลปะอันมีชั้นเชิงอย่างสูงเพื่อให้เกิดโทษน้อยที่สุด
          ดวงดาวอันตรึงกันเช่นนี้ถือว่าเป็นกรรมร่วม  ซึ่งทุกดวงชาตาในโลกจำต้องรับกรรมร่วมกัน  ฤกษ์ใดๆ  ที่กำหนดขึ้นมาในระยะปีวันวิกฤตดังกล่าวก็ต้องรับผลร้ายไปโดยทั่วหน้า  จะมากหรือน้อยแค่ไหนแล้วแต่ชั้นเชิงของผู้ให้ฤกษ์  ถ้า ผู้ที่ไม่เจนสังเวียนดีพอในการวางฤกษ์ บางที่ก็กำหนดฤกษ์ให้เข้าไปอยู่ในแนวพิษร้ายของดาวคู่นั้นๆ อย่างเต็มที่ก็ได้ซึ่งเคยผ่านตาอยู่บ่อยๆ  แบบนี้ไม่ให้ฤกษ์เสียเลยจะดีกว่า

          ๑๔.  ถาม  ส่วนใหญ่มักจะให้ฤกษ์กันในเวลากลางวัน  ส่วนกลางคืนจะทำได้ไหม
                  ตอบ  เพราะว่า  กลางวันเป็นเวลที่สะดวกของมนุษย์  กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนหรือนอนหลับไม่นิยมทำการใดๆ กัน  จะปลูกบ้านก็ไม่สะดวก  จะทำอะไรก็ขลุกขลักไปทั้งนั้น  ที่จริงจะให้ฤกษ์กลางคืนก็ได้  ถ้าหากสะดวกและสิ่งแวดล้อมอำนวยให้  เช่นการย้ายบ้าน  การเดินทาง  การเจรจา  แต่ก็ต้องดูกาละเทศะเหมือนกัน  เช่น  ให้ฤกษ์เปิดร้านในเวลาดึก  อย่างนี้เรียกว่าผิดโฉลก  หรือขึ้นบ้านใหม่เวลาใกล้ค่ำ  นั่นเขาถือกัน  เพราะการขึ้นบ้านใหม่หมายถึงการเริ่มชีวิตใหม่อันแจ่มใส  ถ้าไปขึ้นบ้านเอาในเวลาพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน  หรือเวลโพล้เพล้ตะวันลับโลกไปแล้ว  มันหมายถึงการดับสูญ  เขาไม่นิยมกัน
                 เวลาพระอาทิตย์ตกดินเช่นนี้  โบราณนิยมในการสะเดาะเคราะห์  คือเอาตุ๊กตาเสียกระบาลไปตั้งไว้ตรงทางสามแพร่งพร้อมกับเครื่องบัตรพรีเทวดา  แล้วต่อยตุ๊กตาให้ขาดไปเป็นการแสดงว่าตุ๊กตารับเคราะห์แทนตัวเขาไปแล้ว  พิธีนี้เลียนแบบมาจากการตัดหัวคนโทษสมัยโบราณเขาจะทำในเวลาอาทิตย์กำลังตกดิน  ตรงทางสามแพร่ง  จัดเป็นตะแลงแกง  เมื่อฆ่าให้ตายแล้วก็ถือว่าเป็นการสาปแช่งให้ผู้นั้นลับไป  อย่าให้ผุดเกิดขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์จะได้ไม่มาทำความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นอีกต่อไป

          ๑๕.  ถาม  ฤกษ์ที่สมควรอย่างยิ่ง  เหมาะในการทำเวลากลางคืนมีอะไรบ้าง
                  ตอบ  คือฤกษ์พุทธาภิเษก  ฤกษ์ทำขวัญ  สู่ขวัญฤกษ์การเรียนคาถาอาคม  การฝึกสมถกัมมัฏฐาน  ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความสงัดเงียบเป็นการเหมาะอย่างยิ่ง
                   ฤกษ์การปลุกเศกเครื่องรางของขลังก็เหมาะ  จะทำในตอนกลางคืนด้วยความสงบจะทำให้เสมาธิกล้าแข็งขึ้นพวกกระเหรี่ยงจะนิยมปลุกเศกของขลังกับเขี้ยวงา  ของเขาในวันแรม ๑๕ ค่ำหรือวันดับ  และกระทำกันในตอนใกล้เที่ยงคืน  ถือกันว่ามีประสิทธิ์วิเศษยิ่งนัก

          ๑๖  ถาม  สมัยโบราณรู้สึกว่าจะมีฤกษ์หยุมหยิมมาก  เช่นฤกษ์ทำลานข้าว  เอาข้าเข้ายุ้ง  ทำขวัญข้าว  หว่านข้าว ปลูกต้นไม้  ฤกษ์อาข้าวขึ้นลาน ฯลฯ  สมัยนี้จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นด้วยไหม
                  ตอบ  สมัยนี้การเพาะปลูกไม่ว่าสวน  หรือนา  ดูเหมือนจะมีฤกษ์มียามกันเสียแล้ว  ถือกันว่าไม่จำเป็น  สมัยก่อนนั้นเขาร่วมใจร่วมแรงกันทำเรียกว่าลงแขก  คนหมู่มากเช่นนั้นถ้าจะให้เรียบร้อยก็จำเป็นต้องมีฤกษ์ยามจึงจะดีและถือว่าเป็นการนัดหมายกันแน่นอนด้วย  สมัยนั้นเขาไม่มียาฆ่าแมลงและยากำจัดศัตรูพืช  ก็ต้องมีฤกษ์ยามมิให้มีศัตรูพืชทำลายได้

          ๑๗.  ถาม  สมัยก่อนดูจะคลั่งเรื่องฤกษ์ตั้งแต่เกิดมาจนตาย  ทำอะไรต้องมีฤกษ์ยามตลอดเวลา  เช่น  เอา  ทารกขึ้นอู่ (เปล)  ทำขวัญเดือน  โกนจุก  ฯลฯ  สมัยนี้ไม่ทำกันก็ไม่เป็นไร
                  ตอบ  ก็อย่างว่า  จะเอาสังคมสมัยก่อนมาเทียบกับสมัยนี้น่าจะลำบาก  คนสมัยโน้น  ไม่มีโรงหนัง  ไม่มีโทรทัศน์  ไม่มีบาร์  และที่หย่อนใจอันมากมาย  เขาอยู่กันเป็นหมู่บ้าน  มีพิธีที่ไหนสักทีก็ไม่ชุมนุมกันไปพบปะสนทนารื่นเริงกัน  ฤกษ์ยามก็จำต้องมีมากจะได้มีเวลาพบปะกันบ่อยๆ  เรื่องฤกษ์กับสังคมจึงต้องเข้าไปผูกพันกันอย่างแนบแน่นด้วยประการนี้

          ๑๘.  ถาม  สมัยก่อนมีคัมภีร์สีติฤกษ์  มีการคำนวณวางกฎเกณฑ์ฤกษ์มากมาย  มีฤกษ์เข้า  ฤกษ์ออก  เกณฑ์จักขุมายา  ฤกษ์กนกบัญชร  มีปกรณ์เกี่ยวกับฤกษ์มากมาย  ตำราโน้นขัดกับตำรานี้ยุ่งไปหมด  ถ้าถือเคร่งจะหาฤกษ์ไม่ได้เลย  ควรจะทำอย่างไร
                  ตอบ  ก็อย่างว่า  เกจิอาจารย์มีมาก  ตำรามันก็มากเรียนกันไปไม่ได้ดูเหตุผลทั้งยังไม่มีการสังคายนาตำรากันเสียเลย  มันจึงมีกระพื้มากกว่าแก่น  ใครเชื่อถือก็ยึดกันไปใครไม่เชื่อก็อย่ายึด  เอาเพียงแต่รู้จักหมวดฤกษ์  และฤกษ์อันเหมาะแก่การก็น่าจะพอแล้ว  ยิ่งไปยึดเรื่องดิถีอันมีตำราอีกมากมายก่ายกองไม่แพ้กันแล้วก็ยิ่งจะไปกันใหญ่  ยิ่งมีการขับฤกษ์ด้วยแล้วมันไม่ผิดอะไรกับการขับดวงชาตา  กลายเป็นเรื่องยุ่งยากพอดีพอร้ายก็เสียคน  ด้วยจับอะไรไม่ได้ผิดไปเสียหมด

          ๑๙.  ถาม  ไปค้นตำราของเก่า  ไม่กล้าผู้ที่กอดแจอยู่กับตำราเขาด่าว่าหรือสาปแช่งเอาบ้างหรือ
                  ตอบ  โดนมาแล้วไม่หวาดไหว  และไม่กลัวคำสาปของผู้ที่มีโมหะจริต  ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยล่วงเกินผู้ที่ยึดถือในตำรา  เพียงแต่ว่าต่างคนต่างเดิน

          ๒๐.  ถาม  คุณเองก็เคยเขียนตำราฤกษ์  โดยเอาตำราเก่าๆ  มาแจกแจงอย่างละเอียด    
                  ตอบ  นั่นเป็นเรื่องสมัยก่อนเมื่อครั้งยังยึดในตำราอยู่  ประสงค์จะรวบรวมตำราเก่ามาไว้ในที่เดียวกัน  จะได้ค้นง่ายหาง่ายสะดวกแก่ผู้ค้นคว้า  มีการแทรกความคิดเห็นลงไปบ้าง
          แต่ตำราก็ยังคงเป็นตำรา  ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละให้เป็นหลักฐานว่าคนสมัยก่อนเขามีวิธีการกันอย่างไร
          แม้หนังสือการให้ฤกษ์ฉบับง่ายเล่มนี้  ประสงค์จะให้เป็นคู่มือในการให้ฤกษ์เล่มเล็กๆ  ง่ายๆ  ก็ยังรวบรวมของโบราณเอามาไว้ให้ปฏิบัติกันตั้งเยอะแยะ  บางอย่างยังไม่มีเวลาพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผล  ก็เลยลอกเอามาทั้งดุ้นอย่างนั้นแหละ

          ๒๑.  ถาม  ขอถามตรงๆ  ว่าฤกษ์คืออะไร
                  ตอบ  ฤกษ์คือการดูดวงดาวมาใช้พยากรณ์  ระบบเก่าแก่ที่สุดสมัยที่ใช้ระบบจันทรคติ  มีกลุ่มดาวฤกษ์  ๒๗ กลุ่มด้วยกัน (ในตำราพุทธฝ่ายมหายานว่ามี ๒๘  กลุ่ม)  โดยสังเกตุว่า  ผู้เกิดมาขณะดวงจันทร์กำลังโคจรผ่านกลุ่มดาวนั้นๆ ชาตาชีวิตว่าเป็นอย่างไรก็จดจำบันทึกไว้  เมื่อได้สถิติแน่นอนแม่นยำ  เห็นข้อแตกต่างกัน  ๒๗ ประการก็เลยจัดออกเป็น ๙ หมวดด้วยกัน  คือลักษณะใหญ่ๆ  ที่คล้ายกันมีอยู่ ๙ กลุ่ม  สมัย ต่อมาเมื่อใช้ระบบสุริยคติคือดูดวงอาทิตย์โคจรผ่านกลุ่มดาวต่างๆ โดยสังเกตุว่าอาทิตย์โคจรจะครบรอบจักรราศีใช้เวลา ๑ ปีเต็มๆ จึงแบ่งกลุ่มดาวเสียใหม่เป็น ๑๒ กลุ่มทับลงไปบนเส้นทางเดิมอันมี ๒๗ กลุ่มนั้น อาทิตย์โคจร ๑ กลุ่มหรือเรียกว่าราศีละหนึ่งเดือน  ต่อจากนั้นก็สังเกตุดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ ที่เคลื่อนที่ได้  มีการบันทึกจดจำเวลาการโคจร  มีการคำนวณทำปฏิบทินขึ้น  แม้จะมีการพยากรณ์ว่าบุคคลราศีนั้นๆ มีนิสัยชาตาเป็นเช่นนั้นๆ  ก็ยังคงใช้จันทร์ดูฤกษ์ยามอยู่เช่นเดิม

          ๒๒.  ถาม  เพราะเหตุใดจึงต้องดูฤกษ์จากจันทร์อันเป็นระบบเก่าแก่  แทนที่จะดูจากดวงอาทิตย์
                  ตอบ  เพราะว่าการดูจันทร์โคจรผ่านกลุ่มดาวฤกษ์มนุษย์ได้สังเกตุสังกาได้ผลแม่นยำมานานพันๆ ปีแล้วจึงทิ้งไม่ได้  อย่างไรก็ดี  ตำรานี้ได้มีการวางลัคนาฤกษ์ตามธาตุของราศี  และได้ปรับกลุ่มดาวฤกษ์มาเข้ากับสุริยคติอยู่แล้วจึงน่าจะเกิดผลอันควรพึงพอใจแก่ผู้สนใจทั่วไป